8. หลักสูตรเกลียวสว่าน (Spiral
Curriculum)
ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นเสมอในระหว่างผู้จัดทำหลักสูตรด้วยกันเอง ได้แก่ ข้อสงสัยที่ว่าทำไมจึงต้องจัดหัวข้อเนื้อหาในเรื่องเดียวกันซ้ำๆกันอยู่เสมอในเกือบทุกระดับชั้นแม้จะได้มีผู้พยายามกระทำตามความคิดที่จะจัดสรรเนื้อหาในแต่ละเรื่องหรือแต่ละหัวข้อให้จบในแต่ละระดับชั้นแต่ในทางปฏิบัติและในข้อเท็จจริงยังกระทำไม่ได้เนื่องจากว่าเนื้อหาหรือหัวข้อต่างๆจะประกอบด้วยความกว้างและความลึกซึ่งมีความยากง่ายไปตามเรื่องรายละเอียดของเนื้อหานักพัฒนาหลักสูตรยอมรับในปรากฏการณ์นี้และเรียกการจัดเนื้อหาเรื่องเดียวกันไว้ในทุกระดับชั้นหรือหลายๆ
ระดับชั้นแต่มีรายละเอียดและความยากง่ายแตกต่างกันไปตามวัยของผู้เรียนว่า
หลักสูตรเกลียวสว่าน
1. ความหมาย
หลักสูตรเกลียวสว่าน
หรือบันไดวน (Spiral
Curriculum) หมายถึง
การจัดเนื้อหาหรือหัวข้อเนื้อหาเดียวกันในทุกระดับชั้น
แต่มีความยากง่ายและความลึกซึ้งแตกต่างกัน กล่าวคือ ในชั้นต้นๆ จะสอนในเรื่องง่ายๆ
ตื้นๆ แล้งค่อยๆ เพิ่มความยากและความลึกลงไปเรื่อยๆ
ตามระดับชั้นที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้มีให้พบเห็นได้ในหลักสูตรทั่วๆไป เช่นหลักสูตรประถมศึกษาพุทธศักราช 2521
ของกระทรวงศึกษาธิการในวิชาคณิตศาสตร์กำหนดให้เรียนเรื่อง
การคูณ ทั้งในระดับชั้นป.1 ป.2 ป.3-4 และ ป.5-6 แต่จะมีความยากและความซับซ้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหรืออีกตัวอย่างหนึ่งในกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
จะกำหนดให้นักเรียนเรียนเรื่องพืช ในทุกระดับชั้นจาก
ป.1-6 โดยจะมีรายละเอียดมากขึ้น
และลึกลงเรื่อยๆ
2. ที่มาของแนวความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน
บรูเนอร์ (Bruner, 1960)
เป็นนักการศึกษาท่านหนึ่งที่มีบทบาทมากในการเผยแพร่ความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน บรูเนอร์มีความเชื่อว่าในเนื้อหาของแต่ละเนื้อหาวิชาจะมีโครงสร้างและการจัดระบบที่แน่นอนจึงควรนำความจริงในข้อนี้มาใช้กับการจัดหลักสูตรโดยการจัดลำดับเนื้อหาให้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆอย่างมีระบบจากง่ายไปหายากจากแนวความคิดนี้จึงมีการพัฒนาหลักสูตรในลักษณะบันไดวนหรือเกลียวสว่านคือให้ลึกและกว้างออกไปเรื่อยๆ ตามอายุและพัฒนาการของเด็ก
การพัฒนาหลักสูตรควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ความคิดหรือหัวข้อเนื้อหาพื้นฐานซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่านักเรียนได้เรียนรู้ความคิดรวมของเรื่องนั้นๆ บรูเนอร์เชื่อว่าเราสามารถสอนเรื่องใดๆให้แก่นักเรียนที่มีอายุเท่าใดก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าเด็กจะมีความพร้อมเต็มที่และเขาได้ย้ำในประเด็นนี้ว่าเป็นไปได้ที่จะสอนความคิดและตัวแปรต่างๆ
ให้แก่เด็กได้ตั้งแต่เยาว์วัย และไม่จำเป็นต้องรอจนถึงเวลานั้นๆ
จากการนำแนวความคิดของหลักสูตรเกลียวสว่านไปใช้กับการสอนวิชาวิทยาศาสตร์
ฟรอสท์และโรแลนด์ (Frost and Roland,1969) ได้ยืนยันว่า
หลักสูตรเกลียวสว่านช่วยในการอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอนอย่างมีลำดับขั้นตอนของโครงสร้างวิชาวิทยาศาสตร์บูรณาการเข้ากับกระบวนการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ได้อย่างดี ได้ยืนยันเพิ่มเติมว่าไม่เพียงแต่มีการนำหัวข้อเนื้อหาเดียวกันมาศึกษาในระดับชั้นที่ต่อเนื่องกันเท่านั้นแต่ยังมีการนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้มีความสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆให้เหมาะสมกับเนื้อหาและวัยอีกด้วยจึงสรุปได้ว่า
เนื้อหาสาระและกระบวนการเรียนรู้ของเด็กกับนักวิชาการระดับสูงแตกต่างกันเพียงปริมาณหรือความเข้มเท่านั้น ไม่ใช่ประเภทหรือชนิด
3. หลักสูตรเกลียวสว่านตามแนวคิดของดิวอี้
ดิวอี้ (Dewey, 1938) มีแนวคิดเรื่องหลักสูตรสว่านแตกต่างไปจากบรูเนอร์ กล่าวคือ ดิวอี้
มีความเชื่อว่า
การเจริญงอกงามขึ้นอยู่กับการฝึกใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาที่ได้มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าจากปัญหาที่กำหนดให้จากภายนอกและในขณะที่ผู้เรียนฝึกใช้สติปัญญากับการแก้ปัญหาเหล่านี้ เขาจะได้ความคิดใหม่ๆ และพลังในการทำงานซึ่งจะเป็นฐานสำหรับแก้ปัญหาอื่นๆอีกต่อไปในการปฏิบัติเช่นนั้นผู้เรียนจะเข้าใจถึงความสำคัญระหว่างกันของความรู้ในสาขาต่างๆและการประยุกต์ความรู้ไปใช้ในเชิงสังคมได้กว้างขวางขึ้นกระบวนการจึงเป็นเสมือนเกลียวสว่านที่มีลักษณะต่อเนื่องและรับช่วงกันไป
ดังนั้น เกลียวสว่านของดิวอี้จึงไม่ได้เริ่มที่ประสบการณ์ของผู้เรียนแต่เพียงประการเดียว
ซึ่งนอกเหนือไปจากเนื้อหาวิชาที่จัดไว้สำหรับการเรียนรู้ของผู้ใหญ่แต่มองประสบการณ์ทางการศึกษาว่าเป็นการขยายความสนใจและสมรรถภาพของผู้เรียนไปสู่ประสบการณ์การเรียนรู้ที่สูงขึ้นและกว้างขึ้น ดังนั้น
การเลือกเนื้อหาสาระที่จะต้องก้าวไปเรื่อยๆ จำเป็นจะต้องสอดคล้องกับการเจริญงอกงามของประสบการณ์ยกตัวอย่าง เช่น การศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์นั้น
ดิวอี้ได้ยืนยันว่าไม่แต่การนำไปสู่ความเข้าใจวิทยาศาสตร์ที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่จะต้องนำไปสู่ความเข้าใจปัญหาของสังคมในขอบข่ายที่กว้างขึ้นและที่ดีขึ้นด้วยในประเด็นนี้จำเป็นต้องมีการสังเคราะห์หลักสูตรให้สมบูรณ์ทั้งในแนวตั้งและแนวนอนในแนวตั้งหมายถึงการขยายความรู้ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไปส่วนแนวนอนหมายถึงความจำเป็นที่จะต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างกันของความรู้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น