6. หลักสูตรแฝง (Hidden
Curriculum)
1. ความหมาย
หลักสูตรแฝง
เป็นคำที่แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Hidden curriculum แต่มีนักพัฒนาหลักสูตรบางท่านพอใจที่จะใช้คำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน
เช่น กู๊ดแลด (Goodlad,1094)ใช้คำว่า implicit
curriculum และเซย์เลอร์กับอเล็กซานเดอร์ (Saylor &
Alexander,1974) ใช้คำว่า unstudied curriculum ถึงแม้จะใช้คำที่แตกต่างกันไปบ้างแต่ต่างก็มีความหมายใกล้เคียงหรือถือได้ว่าเป็นความหมายที่มีนัยเดียวกันคือเป็นหลักสูตรที่แฝงซ่อนเร้นไม่เปิดเผย และไม่ได้มุ่งศึกษาโดยตรง เพราะถือว่าเป็นหลักสูตรที่ไม่เป็นทางการ (unofficial
curriculum)
หลักสูตรแฝง
เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้กำหนดแผนการเรียนรู้เอาไว้ล่วงหน้าและเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่โรงเรียนไม่ได้ตั้งใจจะจัดให้จากนิยามนี้สามารถอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจดีขึ้นโดยตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมดังนี้ในทางเปิดเผยโรงเรียนสอนคณิตศาสตร์และจัดให้เด็กชายหญิงเรียนรู้การอ่าน การเขียน การสะกดคำและอื่นๆแต่โรงเรียนและครูได้สอนหลายสิ่งหลายอย่างโดยไม่ตั้งใจจากการสอนตามหลักสูตรปกติในรูปของกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นมา
และเรียนรู้จากสภาพการณ์และเงื่อนไขเชิงสังคมและเชิงกายภาพที่โรงเรียนจัดให้
เป็นต้นว่าสอนนักเรียนให้ทำงานตามลำพังในเชิงของการแข่งขันหรือให้นักเรียนทำงานด้วยกันเป็นกลุ่มสอนให้นักเรียนเป็นผู้กระทำหรือเป็นถูกกระทำให้รู้จักพอใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริงพื้นๆหรือให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งและอื่นๆ
สรุปสั้นๆ และตรงประเด็นก็คือ ครูหรือโรงเรียนสอนค่านิยมให้แก่เด็กอย่างแอบแฝง หรือโดยไม่ตั้งใจ
สรุปสั้นๆ และตรงประเด็นก็คือ ครูหรือโรงเรียนสอนค่านิยมให้แก่เด็กอย่างแอบแฝง หรือโดยไม่ตั้งใจ
แม้จะไม่มีใครกล่าว และให้ความสนใจให้กับหลักสูตรแฝงมากนัก
แต่ต้องยอมรับว่าหลักสูตรแฝงมีอยู่ในทุกโรงเรียนสไนเดอร์(Snyder,1970)ได้ยืนยันความจริงข้อนี้ว่าไม่มีสถานศึกษาใดเลยไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนอนุบาล
โรงเรียนมัธยมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยที่ไม่มีหลักสูตรแฝงปรากฏอยู่และเขาได้แสดงความเชื่อต่อไปว่าหลักสูตรแฝงมีอิทธิพลต่อการปรับตัวของนักเรียนและอาจารย์มากกว่าหลักสูตรปกติ
2. หลักสูตรแฝงกับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย
โดยทั่วไปโรงเรียนจะประสบความสำเร็จมากในการสอนให้เกิดการเรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัยและทักษะพิสัย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีการสอนและการประเมินผลที่จัดให้เกิดความสอดคล้องกันได้ง่ายและกระทำได้ง่ายแต่โรงเรียนจะมีปัญหาในการสอนนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้ทางด้านจิตพิสัยซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจิต อารมณ์และการกระทำที่สอดคล้องกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นเรื่องของการสอนเจตคติ ค่านิยม และความประพฤติที่พึงประสงค์เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้โดยการบรรยายหรือการใช้คำพูดสั่งสอน เพราะโดยธรรมชาติและหลักข้อเท็จจริงเด็กจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ใช้คำพูดสั่งสอนเพราะโดยธรรมชาติและหลักข้อเท็จจริง
เด็กจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากตัวอย่างและการกระทำของผู้ใหญ่และผู้อยู่ใกล้ชิดมากกว่า
ชิลเบอร์เมน (Silberman,1970:9) ได้ยืนยันความจริงในข้อนี้ว่าสิ่งที่นักการศึกษาจะต้องตระหนักให้มากก็คือวิธีการที่เขาสอนและการกระทำของพวกเขามีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่เขาสอนนั่นก็คือว่าวิถีทางที่เรากระทำกับสิ่งต่างๆจะสร้างค่านิยมได้ตรงกว่าและมีประสิทธิผลมากกว่าที่เราได้สอนหรือพูดคุยกับเขาโดยตรงการปฏิบัติการในเชิงการบริหารที่มีลักษณะเฉพาะประเภทการเลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติการแบ่งกลุ่มนักเรียนตามความสามารถการแบ่งแยกผิวพรรณและเชื้อชาติ หรือการสอบแข่งขันเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาจะมีผลต่อหน้าที่พลเมืองมากกว่าการเรียนโดยตรงในหลักสูตรวิชาสังคมศึกษาเด็กๆจะถูกสอนให้เรียนรู้เกี่ยวกับค่านิยมจริยธรรมศีลธรรมบุคลิกภาพและความประพฤติทุกวันจากการจัดและดำเนินการของโรงเรียนเช่นวิถีทางที่ครูและพ่อแม่ประพฤติ วิถีทางที่พวกเขาพูดกับเด็กและระหว่างผู้ใหญ่ด้วยตนเอง ชนิดของพฤติกรรมที่พวกเขายอมรับและให้รางวัล
และชนิดของพฤติกรรมที่พวกเขาไม่ยอมรับและมีการลงโทษมากกว่าการเรียนรู้จากเนื้อหาที่บรรจุไว้ในหลักสูตรปกติ
โคลเบอร์ก
(kopiberg,
1970:120) ซึ่งเป็นนักสังคมวิทยาการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด ผู้ซึ่งล่วงไปแล้ว
ได้มีความเชื่อและจุดยืนเดียวกันเกี่ยวกับความสำคัญและอิทธิพลของหลักสูตรแฝงในรูปแบบของการเรียนรู้ทางสังคม(socialization)ของนักเรียนเขามองว่าหลักสูตรแฝงมีลักษณะและธรรมชาติที่จำเป็นและเอื้อต่อการพาไปสู่ความเจริญงอกงามทางจริยธรรม เพราะในโรงเรียนประกอบไปด้วยฝูงคน การยกย่องและอำนาจ
แจ๊คสัน (jackson, 1968 : 36) ได้ศึกษาลักษณะที่สำคัญของห้องเรียนและได้ชี้ให้เห็นถึงธรรมชาติของการกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมและความสำคัญของหลักสูตรแฝงว่า ในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนนักเรียนเรียนรู้ที่จะปรับตนเองให้สอดคล้องกับเจตจำนงของครูแล้วควบคุมการกระทำของตนเองให้เป็นที่ยอมรับเขาเรียนรู้ที่จะยอมรับตามและปฏิบัติตามกฎระเบียบและกิจวัตรต่างๆที่ได้กำหนดไว้เขาเรียนรู้ที่จะอดทนกับความไม่พอใจเล็กๆน้อยๆ
และยอมรับนโยบายและแผนงานของผู้บริหาร แม้ว่าจะขาดเหตุผลไปบ้างก็ตาม แจ๊คสัน (Jackson, 1972 : 81 ) ถือว่า กฎระเบียบและกิจวัตรประจำวัน เป็น 3 R’s (rules,regulaons, and routines ) ของหลักสูตรแฝง
เพราะเป็นสิ่งที่นักเรียนต้องเรียนรู้และปฏิบัติตามมิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นได้
จากข้อเท็จจริงความคิดและมุมมองเกี่ยวกับหลักสูตรแฝงนี้จะช่วยให้ครูและนักการศึกษาได้แง่คิดและเข้าใจสัจธรรมเกี่ยวกับการเรียนรู้ในเรื่องเจตคติ ค่านิยม พฤติกรรม คุณธรรมและจริยธรรมของนักเรียนความจริงในเรื่องนี้ช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องเกิดความตระหนักว่าการสอนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ทางด้านจิตพิสัยโดยเน้นการสั่งสอนอบรมในลักษณะการบรรยายและการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนปกติตามหลักสูตรแต่เพียงอย่างเดียวย่อมจะไม่เพียงพอ
แต่จะต้องการขอความร่วมมือจากครูและบุคลากรทุกคนของโรงเรียนได้ช่วยกันสร้างบรรยากาศจัดกิจกรรมและประพฤติปฏิบัติตนให้เอื้อต่อการเรียนรู้และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเรียนเนื่องจากหลักสูตรแฝงมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ในด้านค่านิยมและจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนจึงไม่ควรเน้นและทุ่มเทในด้านการสอนสิ่งเหล่านี้ตามตัวหลักสูตรปกติมากจนเกินไปหรือเกินความจำเป็นแต่ให้เพิ่มความสนใจแก่หลักสูตรแฝงมากขึ้นโดยการนำหลักสูตรแฝงออกมาสู่ที่สว่างหรือนำความจริงเกี่ยวกับหลักสูตรแฝงมาเป็นยุทธวิธีหรืออุบายในการสอนจริยธรรมและสิ่งที่ดีงามได้แก่เยาวชนนั่นคือนอกจากการจัดบรรยากาศในโรงเรียนให้ส่งเสริมการเรียนรู้ทางคุณธรรมและจริยธรรมแล้ว จำเป็นจะต้องมีการควบคุมหรือกำหนดสิ่งแวดล้อมในสังคมระดับชุมชน และระดับประเทศให้เอื้อและสนองตอบไปในทิศทางเดียวกันด้วยเพื่อเยาวชนจะได้เรียนรู้และเลียนแบบความประพฤติและสิ่งดีๆจากผู้ใหญ่ในครอบครัวในโรงเรียนและในสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น