วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

รูปแบบในการพัฒนาหลักสูตร



5. รูปแบบในการพัฒนาหลักสูตร
              รูปแบบในการพัฒนาหลักสูตรเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น  เนื่องจากรูปแบบหลักสูตรเปรียบเสมือนพิมพ์เขียว (Blue Print) ที่ใช้เป็นแนวทางการพัฒนาหลักสูตรจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านหลักสูตร นักวิชาการจึงมีความสำคัญเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการวิจัยครั้งนี้ รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรที่สำคัญมีดังนี้


หลักสูตรแต่ละหลักสูตรจะได้รับอิทธิพลจากพื้นฐานในด้านต่างๆที่แตกต่างกันออกไปทั้งในด้านปรัชญาการศึกษา จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาการเรียนรู้ สภาพสังคมและการเมือง วัฒนธรรม เทคโนโลยีและประวัติศาสตร์ จึงส่งผลให้หลักสูตรในแต่ละรูปแบบมีความแตกต่างกันออกไป สำหรับรูปแบบของหลักสูตรสามารถแบ่งออกได้ทั้งสิ้น 6 รูปแบบ คือ หลักสูตรเน้นสาขาวิชา หลักสูตรประสบการณ์ หลักสูตรแกน หลักสูตรประสบการณ์ หลักสูตรกระบวนการ หลักสูตรเกณฑ์ความสามารถและหลักสูตรบูรณาการ โดยลักษณะของแต่ละหลักสูตรมีดังนี้ หลักสูตรเน้นสาขาวิชา

           หลักสูตรเน้นสาขาวิชา หลักสูตรรูปแบบนี้จะเน้นเนื้อหารายวิชาในการเรียนเป็นหลัก[63] โดยหลักสูตรรูปแบบนี้ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาสารัตถนิยมและปรัชญานิรันตรนิยม[56] โดยหลักสูตรจะจัดให้มีการเรียนการสอนแยกออกเป็นรายวิชาต่างๆ โดยเนื้อหารายวิชาจะมีการจัดเรียงลำดับตามระเบียบแบบแผน โดยเน้นการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนสู่ผู้เรียนเป็นหลัก รวมไปถึงเป็นหลักสูตรที่ไม่ได้คำนึงถึงความต้องการของผู้เรียนอีกด้วย หลักสูตรในรูปแบบนี้สามารถแบ่งแยกย่อยได้อีก 3 ประเภท คือ
        หลักสูตรสหสัมพันธ์ คือ หลักสูตรที่นำรายวิชาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน นำมาจัดสอนเป็นวิชาเดียวกันหรือส่งเสริมการเรียนการสอนของแต่ละวิชาซึ่งกันและกัน ซึ่งทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนครั้งเดียวแต่ได้รับความรู้ของทั้ง 2 วิชา
        หลักสูตรแบบผสมผสาน เป็นหลักสูตรที่นำรายวิชาต่างๆที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือใกล้เคียงกัน นำมาจัดรวมกันเข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สะดวกต่อการเรียนการสอนและการประเมินผล เช่น การแบ่งออกเป็นหมวดภาษาไทย หมวดคณิตศาสตร์ เป็นต้น
          หลักสูตรแบบกว้าง เป็นหลักสูตรที่พยายามลดเอกลักษณ์ของแต่ละรายวิชาลงไป โดยนำเนื้อหาวิชาที่มีลักษณะใกล้เคียงกันจัดออกเป็นหมวดหมู่อย่างกว้างๆ เพื่อให้เกิดการประสานสัมพันธ์ของเนื้อหาวิชามากขึ้น ซึ่งหลักสูตรในรูปแบบนี้จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ในรายวิชาต่างๆอย่างหลากหลาย และสามารถนำไปต่อยอดใช้ในชีวิตประจำวันได้
           หลักสูตรประสบการณ์ หลักสูตรประสบการณ์เป็นหลักสูตรที่ปรับปรุงข้อบกพร่องที่เกิดจากหลักสูตรเน้นสาขาวิชาที่ไม่คำนึงถึงความต้องการของผู้เรียน โดยหลักสูตรนี้จะยึกหลักปรัชญาพิพัฒนาการนิยมมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนน หลักสูตรประสบการณ์จึงเป็นหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง โดยมีผู้สอนเป็นผู้จัดเตรียมประสบการณ์ และผู้เรียนสามารถนำประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนการสอนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
           หลักสูตรแกน หลักสูตรแกนเป็นหลักสูตรที่พัฒนาตามหลักปรัชญาปฏิรูปนิยม เป็นหลักสูตรที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1900 เพื่อให้หลุดพ้นจากข้อจำกัดของหลักสูตรแบบแยกรายวิชาโดยเน้นเนื้อหาทางด้านสังคมและพลเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาของสังคม
            หลักสูตรกระบวนการ หลักสูตรกระบวนการที่เน้นทักษะกระบวนการ มากกว่าเนื้อหาวิชา หลักสูตรนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งเอื้อต่อหลักการการเรียนรู้ตลอดชีวิต เนื้อหาสาระในหลักสูตรจึงเป็นสิ่งที่เอื้อให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
          หลักสูตรเกณฑ์ความสามารถ หลักสูตรเกณฑ์ความสามารถเป็นหลักสูตรที่จัดขึ้นเพื่อดูว่าผู้เรียนสามารถผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ โดยการจัดหลักสูตรจะมีความต่อเนื่องเป็นระบบในระดับยากง่ายและความกว้างขวางของประสบการณ์
          หลักสูตรบูรณาการ หลักสูตรบูรณาการเป็นหลักสูตรที่นำเนื้อหาวิชา 2 วิชาขึ้นไปที่มีความสัมพันธ์กันมาเชื่อมโยงกันจนเกิดหลักสูตรใหม่ โดยอาจเป็นการบูรณาการในสาขาวิชาเดียวกัน การบูรณาการระหว่างต่างสาขาวิชาหรือการบูรณาการภายในตัวผู้เรียนและการประสานกันระหว่างผู้เรียนก็ได้


พัฒนาการของหลักสูตรในโลกตะวันตก

หลักสูตรเริ่มมีพัฒนาการเป็นครั้งแรกตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีหลักฐานปรากฏเกี่ยวกับการจัดทำหลักสูตรมากว่า 2,500 ปีมาแล้ว อย่างไรก็ตามเป็นที่เข้าใจว่าคงมีการจัดทำหลักสูตรมาก่อนหน้านั้น แต่ไม่มีหลักฐานปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน โดยหลักสูตรจะเน้นการดำรงชีวิตในสังคม รวมถึงการท่องจำบทบัญญัติหรือคัมภีร์ต่าง ๆ ผู้ที่จบหลักสูตรเหล่านี้จะได้รับการยอมรับจากสังคม นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรที่เน้นยุทธวิธีและพลศึกษาอีกด้วย ในสมัยกรีกโบราณ ได้มีการจัดหลักสูตรเกี่ยวกับศิลปะและศีลธรรมเพิ่มเติมเข้ามา ทั้งนี้เนื่องมาจากอิทธิพลของนักปราชญ์อย่างโสเครตีสและเพลโต ส่งผลให้หลักสูตรที่เน้นเกี่ยวกับทางด้านการทหารนั้นถูกลดบทบาทลงไป และส่งผลให้จุดมุ่งหมายของหลักสูตรจากแต่เดิมเน้นการดำรงชีวิตและการทหาร ในหลักสูตรกรีกโบราณได้เปลี่ยนจุดมุ่งหมายเป็นการสร้างวินัยทางศีลธรรม จิตใจอันบริสุทธิ์ ความคิดและการ กระทำที่ถูกต้องและเป็นจริง
อย่างไรก็ตามหลักสูตรในรูปแบบนี้ใช้จัดการเรียนการสอนในหมู่ชนชั้นสูงเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราชได้เกิดกลุ่มโซฟิสต์ขึ้น โดยกลุ่มโซฟิสต์จะเดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ และสอนโดยเก็บค่าเล่าเรียน การสอนของกลุ่มโซฟิสต์นี้จะไม่เน้นทางด้านปรัชญา ศิลปะหรือการดนตรีมากนัก ส่งผลให้การจัดหลักสูตรของกลุ่มโซฟิสต์จะเน้นหนักในการแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงทางด้านภาษา ตรรกวิทยาและวรรณคดี[18] สำหรับหลักสูตรในโรมันจะเน้นหนักไปทางการท่องบทกวีของโฮเมอร์ กฎไวยากรณ์และหลักเกณฑ์การใช้ถ้อยคำโวหารหรือศิลปะการพูด โดยจัดการศึกษาโดยใช้ภาษาทั้งสิ้น 2 ภาษาในการเรียนการสอน คือภาษากรีกและภาษาละติน นอกจากนี้แล้วยังนำเรื่องของการเล่นต่าง ๆ เข้ามาสอดแทรกในกระบวนการสอนอีกด้วย
การเรียนการสอนในยุคกลาง

หลักสูตรแบบกรีกและโรมันใช้เรื่อยมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งถึงในสมัยยุคกลางที่หลักสูตรเริ่มมีเนื้อหาและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างออกไปจากเดิม โดยในสมัยนี้หลักสูตรแบบโรมันและกรีกค่อย ๆ เสื่อมลง และหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นโดยศาสนาจักรเริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยในหลักสูตรมักประกอบไปด้วยวิชาภาษาละติน ไวยากรณ์และศาสนวิทยา จนกระทั่งเกิดการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ หลักสูตรแบบกรีกจึงกลับมาอีกครั้งและเกิดการจัดการศึกษาที่หลากหลายรูปแบบ[18] ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกี่ยวข้องกับหลักสูตร กล่าวคือเฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ชาวอังกฤษได้โจมตีการศึกษาแบบดั้งเดิมที่เน้นด้านภาษาและวรรณกรรมแบบคลาสสิกนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร และได้เสนอว่าในการจัดทำหลักสูตรนั้นควรพิจารณาว่าสิ่งใดมีคุณค่าต่อชีวิตและควรกำหนดระดับความสำคัญลดหลั่นกันลงไป ซึ่งข้อเสนอของสเปนเซอร์นี้เองกลายเป็นแนวความคิดที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบัน

สำหรับพัฒนาการของหลักสูตรที่สำคัญนอกจากในทวีปยุโรปคือในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าในช่วงแรกจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของทวีปยุโรป แต่ในระยะเวลาต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยได้เพิ่มรายวิชาใหม่ ๆ เข้าไปในหลักสูตรเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งพีชคณิต ดาราศาสตร์และเคมี เป็นต้น ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20ได้เกิดการปฏิรูปหลักสูตรครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา โดยเกิดจากอิทธิพลของจอห์น ดิวอี้ ทำให้หลักสูตรเน้นการศึกษาในด้านการพัฒนาสังคม การเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รวมไปถึงการหาประสบการณ์ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน[18][19] อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1957 สหภาพโซเวียตสามารถปล่อยดาวเทียมสปุตนิกขึ้นไปในอวกาศได้ ส่งผลให้เกิดการปฏิรูปหลักสูตรให้มุ่งเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการในเฉพาะสาขาวิชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อย่างไรก็ตามหลักสูตรรูปแบบนี้เปลี่ยนแปลงในอีก 10 ปีต่อมาโดยเป็นหลักสูตรแบบผสมที่เน้นทั้งรายวิชาพื้นฐาน รายวิชาสามัญและรายวิชาอาชีพ[18] อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเปลี่ยนรูปแบบการจัดหลักสูตรแบบใดก็ตาม แนวคิดเรื่องการเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางก็ยังคงเป็นจุดเน้นที่สำคัญของหลักสูตรสหรัฐอเมริกา
พัฒนาการหลักสูตรในลาตินอเมริกา

พัฒนาการหลักสูตรในลาตินอเมริกานั้นสามารถย้อนไปได้ถึงในสมัยที่จักรวรรดิแอซเท็คและจักรวรรดิอินคามีอำนาจในช่วงเวลาประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 14 - 16 เนื่องจากปรากฏระบบการจัดการเรียนการสอนในขณะนั้น โดยหลักสูตรของแอซเทคนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบหลักดังนี้ รูปแบบหลักสูตรแรกคือหลักสูตรสำหรับเด็กชายชนชั้นสูงซึ่งหลักสูตรจะเน้นการเรียนการสอนเพื่อการเป็นนักบวชในอนาคต โดยหลักสูตรนี้จะเน้นการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ โหราศาสตร์ การเขียนและกฎหมายเป็นหลักหลักสูตรรูปแบบที่สองคือหลักสูตรสำหรับเด็กชายสามัญชน ซึ่งจะเน้นการเรียนรู้ทางด้านการรบและพลศึกเป็นหลักและหลักสูตรรูปแบบสุดท้ายของแอซเท็คคือหลักสูตรสำหรับผู้หญิงซึ่งจะจัดการศึกษาโดยครอบครัวเป็นหลัก ส่วนหลักสูตรของอินคานั้น ชนชั้นสูงจะอยู่ภายใต้การดูแลของนักปราชญ์ราชบัณฑิต ในขณะที่หลักสูตรของคนสามัญมีลักษณะไม่เป็นทางการ เพราะจัดการเรียนการสอนโดยสถาบันครอบครัว

เมื่อกลุ่มกองกิสตาดอร์จากสเปนเข้ามาพิชิตจักรวรรดิต่างๆของชนพื้นเมืองได้แล้ว เจ้าอาณานิคมได้ปฏิวัติระบบการเรียนการสอนและระบบหลักสูตรของดินแดนนี้ใหม่ทั้งหมด โดยการนำหลักการทางศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกเป็นหลักสูตรหลักเพื่อเปลี่ยนแปลงชนพื้นเมืองและทำให้ชนพื้นเมืองจงรักภักดี ซึ่งหลักสูตรเหล่านี้กลายเป็นรากฐานของการพัฒนาหลักสูตรในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาในปัจจุบัน
พัฒนาการหลักสูตรในแอฟริกาใต้สะฮารา

ภูมิภาคแอฟริกาใต้สะฮารา (Sub-Saharan Africa) ไม่ได้มีการจัดการศึกษาอย่างเป็นระบบมากนักก่อนการเข้ามาของชาวตะวันตก เนื่องจากไม่ปรากฏระบบโรงเรียนในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตามในช่วงก่อนการเข้ามาของชาวตะวันตกนั้นชาวพื้นเมืองในส่วนของแอฟริกาใต้สะฮารานั้นได้จัดทำหลักสูตรที่เน้นการเรียนการสอนทางด้านตำนานท้องถิ่นและพิธีกรรม ซึ่งจะมีการสอดแทรกทางด้านคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมผ่านเรื่องราวเหล่านั้น โดยมีผู้อาวุโสของชนเผ่าเป็นผู้จัดการเรียนการสอน ในบางท้องที่ปรากฏการจัดทำหลักสูตรที่สอนเกี่ยวกับการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตโดยสังคม ซึ่งใช้วิธีการการขัดเกลาทางสังคมเป็นวิธีหลักในการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรนี้
การจัดทำหลักสูตรในภูมิภาคนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากการเข้ามาของชาวยุโรป โดยชาวยุโรปที่เข้ามาในระยะแรกส่วนใหญ่มักเป็นนักสำรวจและมิชชันนารีซึ่งนำการศึกษาแบบตะวันตกมาเผยแพร่ให้กับชาวพื้นเมือง โดยชาวยุโรปเหล่านี้เริ่มเข้ามาจัดการศึกษาในหลักสูตรแบบตะวันตกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยชาวโปรตุเกสแต่มีการดำเนินการจริงจังในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ส่งผลให้หลักสูตรของภูมิภาคนี้ในระยะนี้มีลักษณะตามแบบชาติตะวันตกที่เป็นเจ้าอาณานิคม โดยหลักสูตรจะเน้นการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ชาวพื้นเมืองมีความรู้พื้นฐานพอที่จะทำงานในระบบราชการได้ หลักสูตรแบบตะวันตกนี้เองได้เป็นรากฐานในการพัฒนาหลักสูตรของภูมิภาคนี้ในปัจจุบัน
พัฒนาการหลักสูตรในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ
หลักสูตรในภูมิภาคนี้พบการพัฒนาในระยะเบื้องต้นใน อียิปต์โบราณ และเมโสโปเตเมีย ในเมโสโปเตเมียนั้นผู้ชายเท่านั้นที่ได้รับการศึกษา โดยหลักสูตรการเรียนการสอนของเมโสโปเตเมียนั้นจะดำเนินการจัดการเรียนการสอนโดยผู้อาวุโส ซึ่งจะจัดการเรียนการสอนในรายวิชาเหล่านี้คือ อักษรคูนิฟอร์ม คณิตศาสตร์ กฎหมาย ชีววิทยา ดาราศาสตร์ ตำนานเทพเจ้า บทกวี เศรษฐศาสตร์ เกษตรกรรมและภาษา สำหรับผู้หญิงนั้นจะเน้นสอนกันเองภายในครอบครัว โดยเน้นเรื่องงานบ้านเป็นหลัก ในอียิปต์โบราณนั้น ผู้ชายชนชั้นสูงสามารถเข้าถึงการศึกษาได้มากกว่าผู้ชายชนชั้นล่างและผู้หญิง โดยเน้นการจัดการเรียนการสอนให้กับ 2 กลุ่มหลักคือนักบวชและอาลักษณ์ โดยหลักสูตรของทั้ง 2 กลุ่มจะเน้นการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการจดจำสิ่งต่างๆ และใช้การลงโทษเป็นการเสริมแรงให้เกิดการเรียนรู้
เมื่อศาสนาอิสลามเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้ ส่งผลให้การพัฒนาหลักสูตรได้รับอิทธิพลโดยตรงจากศาสนา โดยมีการก่อตั้งมาดราซาห์เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการจัดการเรียนการสอน[36] โดยหลักแล้วหลักสูตรของอิสลามจะเน้นการเรียนการสอนทางด้านศาสนาเป็นหลัก กล่าวคือมีการบรรจุรายวิชาภาษาอาหรับ ตัฟซีร กฎหมายชะรีอะฮ์ หะดีษ ตรรกศาสตร์และประวัติศาสตร์อิสลามนอกจากนี้แล้วในหลักสูตรยังบรรจุรายวิชาอื่นๆอีกด้วยขึ้นอยู่กับแต่ละมาดราซาห์ โดยบางสถาบันอาจเพิ่มเติมรายวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่นๆเข้าไปผสมผสานอีกด้วย สำหรับหลักสูตรรูปแบบนี้เป็นรากฐานในการพัฒนาหลักสูตรของกลุ่มประเทศที่นับถิอศาสนาอิสลามในปัจจุบัน โดยผสมผสานกับหลักสูตรแบบสมัยใหม่
พัฒนาการหลักสูตรในเอเชีย
หลักสูตรในทวีปเอเชียนั้น แม้จะไม่มีการใช้คำว่าหลักสูตรอย่างเป็นทางการ แต่ก็ปรากฏลักษณะของหลักสูตรตั้งแต่สมัยโบราณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกและอนุทวีปอินเดีย สำหรับพัฒนาการหลักสูตรในอนุทวีปอินเดียนั้นสามารถย้อนไปได้ถึงสมัยพระเวท โดยหลักสูตรในสมัยนี้นั้นจะเน้นการจัดการเรียนการสอนในด้านการสวดพระเวท ไวยากรณ์ ธรรมชาติ การให้เหตุผล บทกวี วิทยาศาสตร์ รวมไปถึงทักษะทางอาชีพต่างๆสำหรับการประกอบอาชีพในอนาคต โดยการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรจะใช้ภาษาสันสกฤตเป็นหลัก ในช่วงเวลาประมาณ คริสต์ศตวรรษที่ 5เริ่มมีการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา โดยมีหลักสูตรในการสอนศาสตร์ต่างๆ เช่น การแพทย์ ศิลปะ วรรณกรรม ศาสนา เป็นต้น เมื่ออิทธิพลของศาสนาอิสลามเข้ามาในภูมิภาครูปแบบหลักสูตรจึงอิงตามรูปแบบหลักสูตรของอิสลามโดยควบคู่กับหลักสูตรแบบฮินดูดั้งเดิม อย่างไรก็ตามหลักสูตรของภูมิภาคนี้เปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองอนุทวีป โดยอังกฤษนำหลักสูตรแบบตะวันตกเข้ามาใช้และกลายเป็นรากฐานของการพัฒนาหลักสูตรในระยะเวลาต่อมา
สำหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกนั้น ปรากฏหลักฐานของการศึกษาย้อนไปได้ถึงในสมัยราชวงศ์เซี่ย อย่างไรก็ตามหลักสูตรในภูมิภาคนี้เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในช่วงประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล โดยหลักสูตรและการจัดการศึกษาในช่วงนี้จะได้รับอิทธิพลจากลัทธิขงจื๊ออย่างชัดเจน ซึ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนในทักษะพื้นฐานเพื่อนำไปใช้ในการสอบบรรจุเป็นข้าราชการ โดยอิทธิพลของลัทธิขงจื๊อนั้นแทรกซึมอยู่ในหลักสูตรของกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกอื่นๆทั้งในญี่ปุ่นและเกาหลี อย่างไรก็ตามเกิดการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอีกครั้งในภูมิภาคนี้ โดยญี่ปุ่นเริ่มรับอิทธิพลหลักสูตรและการศึกษาแบบตะวันตกเข้ามาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19ส่วนในประเทศจีนรับอิทธิพลทางการศึกษาและหลักสูตรแบบตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 20
พัฒนาการของหลักสูตรในไทย
สำหรับประเทศไทย แม้ว่าจะไม่มีการคิดค้นหรือบัญญัติคำว่าหลักสูตรไว้ใช้ในสมัยก่อน แต่พบลักษณะของหลักสูตรและการพัฒนาหลักสูตร โดยพัฒนาการของหลักสูตรไทยสามารถย้อนไปได้ถึงสมัยอาณาจักรสุโขทัย โดยในสมัยสุโขทัยนั้นจะมีศูนย์กลางการเรียนรู้อยู่ทั้งสิ้น 2 แห่ง แห่งแรกคือวัด ซึ่งให้การศึกษาแก่ลูกหลานขุนนางและสามัญชนผ่านการบวชเรียน และสำนักราชบัณฑิตซึ่งทำหน้าที่ในการสอนพระบรมวงศานุวงศ์ โดยวิชาที่จัดการเรียนการสอนในสมัยนั้นคือภาษาบาลีและภาษาไทย ทั้งนี้เพื่อต่อยอดในการศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในอนาคต ดังนั้นหลักสูตรในสมัยนี้จะเน้นเนื้อหาสาระของพระธรรมวินัย รวมไปถึงการปฏิบัติตนตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอีกด้วย สำหรับหลักสูตรของผู้หญิงจะปรากฏในรูปแบบของการศึกษานอกระบบเน้นการบ้านการเรือนเป็นหลัก เมื่อถึงสมัยอยุธยา การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรลักษณะนี้ปรากฏเรื่อยมาจนกระทั่งถึงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยในสมัยนี้มีสำนักราชบัณฑิตเกิดขึ้นอย่างมากมาย รวมไปถึงมีการแต่งแบบเรียนที่สำคัญมากแบบเรียนหนึ่งคือ "จินดามณี" นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศหลายภาษา เช่น ภาษาสันสกฤต ภาษาลาว ภาษาฝรั่งเศส และภาษาจีน เป็นต้น ดังนั้นหลักสูตรตั้งแต่สมัยนั้นจึงมีลักษณะการเน้นท่องจำจากแบบเรียนเป็นหลัก ซึ่งการศึกษาในรูปแบบนี้มีอิทธิพลต่อเนื่องมาในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น นอกจากการศึกษาในรูปแบบไทยจารีตแล้วยังพบการศึกษาตามหลักสูตรตะวันตกอีกด้วย ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ส่งมหาดเล็กของพระองค์เข้าศึกษาตามหลักสูตรของฝรั่งเศสอีกด้วยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การศึกษาได้ดำเนินรูปแบบเดิมมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทุ่งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา พระองค์ทรงเริ่มปฏิรูปการศึกษาแต่เดิม โดยมีการจัดจ้างสตรีชาวต่างชาติเข้ามาสอนพระราชโอรสและพระราชธิดาภายในพระบรมมหาราชวังที่สำคัญคือแอนนา เลียวโนเวนส์ นอกจากนี้ในสมัยนี้มีการจัดทำหลักสูตรเน้นวิชารวม 3 วิชาคือภาษาไทย ภาษาบาลีและคณิตศาสตร์จนกระทั่งถึงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เริ่มมีการปฏิรูปการศึกษาอย่างตะวันตกแบบจริงจัง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร โดยหลักสูตรแนวตะวันตกได้มีอิทธิพลอย่างชัดเจนต่อการพัฒนาหลักสูตรในไทยโดยหลังจากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา โดยหลักสูตรเริ่มแรกในปี พ.ศ. 2432 ได้มีการแบ่งหลักสูตรออกเป็น 3 ประโยค แต่ละประโยคจะมีทั้งสิ้น 3 ชั้น (ยกเว้นประโยค 3 มี 4 ชั้น) โดยจะเน้นวิชาภาษาไทยและคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐาน หลักสูตรในยุคนี้จึงเป็นหลักสูตรที่เน้นในด้านเนื้อหาวิชาเป็นหลัก อย่างไรก็ตามได้มีการปรับโครงสร้างหลักสูตรในเวลาต่อมา แต่ยังคงเป็นหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชาเป็นหลัก ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการเพิ่มหลักสูตรสำหรับการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา รวมไปถึงเพิ่มวิชาลูกเสือ - เนตรนารีเข้าไว้ในหลักสูตรอีกด้วย อย่างไรก็ตามหลักสูตรที่เน้นในด้านเนื้อหาวิชาเป็นหลักได้นำมาใช้จนสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2521 หลังจากการปฏิรูปหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ โดยหลักสูตรหลัง พ.ศ. 2521 เป็นต้นมา จะนำหลักสูตรในหลายๆรูปแบบเข้ามาผสมผสานกัน โดยหลักสูตรแรกที่เกิดจากการนำหลักสูตรหลายรูปแบบมาผสมผสานกันคือ หลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2521



                      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แบบฝึกหัดบทที่ 10

1. การประเมินหลักสูตรมีความจำเป็นหรือไม่อย่างไร           ตอบ.หลักสูตรเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการศึกษาเพราะเป็นการขยายแนวคิดใ...