วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561

สรุปงานนำเสนอ



1.หลักสูตรแฝง





หลักสูตรแฝง
       เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้กำหนดแผนการเรียนรู้เอาไว้ล่วงหน้า และเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่โรงเรียนไม่ได้ตั้งใจจะจัดให้

 หลักสูตรแฝงกับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย
 
      โดยทั่วไปโรงเรียนจะประสบความสำเร็จมากในการสอนให้เกิดการเรียนรู้ ทางด้านพุทธิพิสัย ละทักษะพิสัย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีการสอนและการประเมินผลที่จัดให้เกิดความสอดคล้องกันได้ง่าย และกระทำได้ง่าย แต่โรงเรียนจะมีปัญหาในการสอนนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้ทางด้านจิตพิสัย เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยการบรรยาย เด็กจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากตัวอย่างและการกระทำของผู้ใหญ่ และผู้อยู่ใกล้ชิดมากกว่า
          หลักสูตรแฝงจะช่วยให้ครู และนักการศึกษาได้แง่คิด และเข้าใจสัจธรรมเกี่ยวกับการเรียนรู้ในเรื่องเจตคติ ค่านิยม พฤติกรรม คุณธรรม และจริยธรรมของนักเรียน โรงเรียนจึงไม่ควรเน้นและทุ่มเทในด้านการสอนสิ่งเหล่านี้ ตามตัวหลักสูตรปกติมากเกินไป แต่ให้เพิ่มความสนใจแก่หลักสูตรแฝงมากขึ้น
           ชิลเบอร์เมน (Silberman,1970:9) ได้ยืนยันความจริงในข้อนี้ว่า สิ่งที่นักการศึกษาจะต้องตระหนักให้มากก็คือวิธีการที่เขาสอนและการกระทำของพวกเขามีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่เขาสอน นั่นก็คือว่าวิถีทางที่เรากระทำกับสิ่งต่างๆจะสร้างค่านิยมได้ตรงกว่าและมีประสิทธิผลมากกว่าที่เราได้สอนหรือพูดคุยกับเขาโดยตรงการปฏิบัติการในเชิงการบริหารที่มีลักษณะเฉพาะประเภทการเลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติการแบ่งกลุ่มนักเรียนตามความสามารถ การแบ่งแยกผิวพรรณและเชื้อชาติหรือการสอบแข่งขันเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาจะมีผลต่อหน้าที่พลเมืองมากกว่าการเรียนโดยตรงในหลักสูตรวิชาสังคมศึกษาเด็กๆจะถูกสอนให้เรียนรู้เกี่ยวกับค่านิยมจริยธรรมศีลธรรม บุคลิกภาพ และความประพฤติทุกวันจากการจัดและดำเนินการของโรงเรียนเช่นวิถีทางที่ครูและพ่อแม่ประพฤติวิถีทางที่พวกเขาพูดกับเด็กและระหว่างผู้ใหญ่ด้วยตนเองชนิดของพฤติกรรมที่พวกเขายอมรับและให้รางวัลและชนิดของพฤติกรรมที่พวกเขาไม่ยอมรับ  และมีการลงโทษ  มากกว่าการเรียนรู้จากเนื้อหาที่บรรจุไว้ในหลักสูตรปกติ
              โคลเบอร์ก (kopiberg, 1970:120)  ซึ่งเป็นนักสังคมวิทยาการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด   ผู้ซึ่งล่วงไปแล้วได้มีความเชื่อและจุดยืนเดียวกันเกี่ยวกับความสำคัญและอิทธิพลของหลักสูตรแฝงในรูปแบบของการเรียนรู้ทางสังคม(socialization)ของนักเรียนเขามองว่าหลักสูตรแฝงมีลักษณะและธรรมชาติที่จำเป็นและเอื้อต่อการพาไปสู่ความเจริญงอกงามทางจริยธรรม  เพราะในโรงเรียนประกอบไปด้วยฝูงคน  การยกย่องและอำนาจ
              แจ๊คสัน (jackson, 1968 : 36) ได้ศึกษาลักษณะที่สำคัญของห้องเรียนและได้ชี้ให้เห็นถึงธรรมชาติของการกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมและความสำคัญของหลักสูตรแฝงว่าในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนนักเรียนเรียนรู้ที่จะปรับตนเองให้สอดคล้องกับเจตจำนงของครู แล้วควบคุมการกระทำของตนเองให้เป็นที่ยอมรับ เขาเรียนรู้ที่จะยอมรับตามและปฏิบัติตามกฎระเบียบและกิจวัตรต่างๆที่ได้กำหนดไว้เขาเรียนรู้ที่จะอดทนกับความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆและยอมรับนโยบายและแผนงานของผู้บริหาร แม้ว่าจะขาดเหตุผลไปบ้างก็ตาม แจ๊คสัน  (Jackson, 1972 : 81 ) ถือว่ากฎระเบียบและกิจวัตรประจำวันเป็น 3 Rs (rules,regulaons, and  routines )ของหลักสูตรแฝงเพราะเป็นสิ่งที่นักเรียนต้องเรียนรู้และปฏิบัติตาม มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นได้
หลักการ 3 Rs คือ
           Rules คือ กฎระเบียบ
           Regulaons คือ การควบคุม
           Soutines  คือ กิจวัตรประจำวัน


2.หลักสูตรบูรณาการ




1.หลักสูตรบูรณาการ 

      เป็นหลักสูตรที่พัฒนามาจากหลักสูตรกว้างโดยนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ มาหลอมรวม ทำให้ความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละวิชาหมดไป
   
ลักษณะหลักสูตรบูรณาการที่ดี
        1. บูรณาการระหว่างความรู้และกระบวนการเรียนรู้ อาจใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้อย่างง่ายๆ เช่น การบอกเล่า การบรรยาย และการท่องจำ
       2. บูรณาการระหว่างพัฒนาการทางความรู้และพัฒนาการทางจิตใจ คือมุ่งในด้านพุทธิพิสัย อันได้แก่ความรู้ ความคิด และการแก้ปัญหา มากกว่าด้านจิตพิสัย คือ เจตคติ ค่านิยม ความสนใจ และความสุนทรียภาพ
       3. บูรณาการระหว่างความรู้และการกระทำ การสร้างสหสัมพันธ์ระหว่างความรู้และการกระทำมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าระหว่างความรู้และจิตใจ โดยเฉพาะในด้านจริยศึกษา การเรียนรู้เรื่องค่านิยมและการส่งเสริมให้   ผู้เรียนมีความสามารถในการเลือกค่านิยมที่เหมาะสม
       4. บูรณาการระหว่างสิ่งที่เรียนในโรงเรียนกับสิ่งที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้เรียนสิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าหลักสูตรดีหรือไม่ดี
       5.บูรณาการระหว่างวิชาต่างๆ นำเอาเนื้อหาของวิชาหนึ่งมาเสริมอีกวิชาหนึ่ง เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้และเกิดเจตคติตามที่ต้องการ โดยอาศัยเนื้อหาของหลายๆ วิชา มาช่วยในการแก้ปัญหานั้น 
   
รูปแบบการบูรณาการ
 
       1. บูรณาการภายในหมวดวิชา เป็นการสอดคล้องกับแนวความคิดของหลักสูตรที่ว่าการเรียนรู้ต้องมีลักษณะเป็นสหวิทยาการ
       2.บูรณาการ ภายในหัวข้อ และโครงการคือการนำเอาความรู้ ทักษะและประสบการณ์ ของวิชาหรือหมวดวิชาตั้งแต่สองวิชาหรือหมวดวิชาขึ้นไปมาผสมผสานกันในลักษณะที่เป็นหัวข้อหรือโครงการ
      3.บูรณาการโดยการผสมผสานปัญหาและความต้องการของผู้เรียนและของสังคม ผู้เรียนจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้จากวิทยาการต่างๆหลายสาขา รวมทั้งมีทักษะที่จำเป็นเพื่อที่จะแก้ปัญหาสิ่งที่ปรากฏชัดในการเรียนรู้ได้ 





3.หลักสูตรกว้าง





 
หลักสูตรกว้าง
 
มีจุดหมายที่จะส่งเสริมการเรียนการสอนให้เป็นที่น่าสนใจและเร้าใจ ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถปรับตนให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี รวมทั้งให้มีการพัฒนาการในด้านต่างๆทุกด้าน


 วิวัฒนาการหลักสูตร


 หลักสูตรกว้างเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ โดยวิชาที่สอนนี้กล่าวถึงแผ่นดินแถบลุ่มแม่น้ำเทมส์และกิจกรรมต่างๆ ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นแผ่นดินนั้น เป็นการนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ หลายวิชามาศึกษาในเวลาเดียวกัน

สหรัฐอเมริกาเริ่มนำเอาหลักสูตรนี้มาใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1914  โดยวิทยาลัยแอมเฮิรส จัดทำเป็นวิชากว้างๆ เรียกว่า สถาบันสังคมและเศรษฐกิจ   ประเทศไทยได้นำหลักสูตรมาใช้เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2503 โดยเรียงลำดับเนื้อหาต่างๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันเข้าไว้ในหลักสูตร และให้ชื่อวิชาเสียใหม่ให้มีความหมายกว้างครอบคลุมวิชาที่นำมาเรียงลำดับไว้



ลักษณะสำคัญของหลักสูตร



      1. จุดหมายของหลักสูตรมีขอบข่ายกว้างขวางกว่าหลักสูตรรายวิชา

 

      2. จุดประสงค์ของแต่ละหมวดวิชา เป็นจุดประสงค์ร่วมกันของวิชาต่างๆ ที่นำมารวมกันไว้


      3. โครงสร้างหลักสูตรมีลักษณะเป็นการนำเอาเนื้อหาของแต่ละวิชาซึ่งได้เลือกสรรแล้วมาเรียงลำดับกันเข้า

           ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
  ก.ส่วนดี

       1. เป็นหลักสูตรที่ทำให้วิชาต่างๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน มีความสัมพันธ์กันดีขึ้น

       2. ในการสอนทั้งผู้เรียนและผู้สอนเกิดวามเข้าใจ และมีทัศนะคติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนกว้างขึ้น

      3. เป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างกว้างขวาง เป็นการเอื้ออำนวยต่อการจัดกิจกรรม ที่มีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน

ข.ส่วนเสีย

       1.ลักษณะของหลักสูตรทำให้การเรียนการสอนไม่ส่งเสริมให้เกิดความรู้เนื้อหาอย่างลึกซึ้ง เข้าทำนองรู้รอบ  มากกว่ารู้สึก

          2.การสอนอาจไม่บรรลุจุดประสงค์ เพราะต้องสอนหลายวิชาในขณะเดียวกัน

4.หลักสูตรประสบการณ์



 

               เริ่มต้นหลักสูตรนี้มีชื่อว่าหลักสูตรกิจกรรม (The Activity Curriculum)และเปลี่ยนเป็นหลักสูตรประสบการณ์ในปัจจุบัน เกดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ว่าหลักสูตรเดิมที่ใช้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรรายวิชาหรืหลักสูตรกว้าง ล้วนไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสนใจและกระตือรือร้นในการเรียนเท่าที่ควร

วิวัฒนาการของหลักสูตร

หลักสูตรประสบการณ์ถูกนำมาใช้ครั้งแรกที่โรงเรียนทดลอง ของมหาวิทยาลัยซิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1896 โดยจอห์นและแมรีดิวอี้ พื้นฐานของหลักสูตรตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า ถ้าจะให้ผู้เรียนสนใจและเกิดความกระตือรือร้นในการเรียน จะต้องอาศัยแรงกระตุ้น 4 อย่างคือ
1.แรงกระตุ้นทางสังคม
2.แรงกระตุ้นทางสร้างสรรค์
3.แรงกระตุ้นทางการค้นคว้าทดลอง
4.แรงกระตุ้นทางการแสดงออกด้วยคำพูด การกระทำ และทางศิลปะ

 ลักษณะสำคัญของหลักสูตร

            1. ความสนใจของผู้เรียน เป็นตัวกำหนดเนื้อหา และเค้าโครงหลักสูตร
            2. วิชาที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียน คือวิชาที่ผู้เรียนมีความสนใจรวมกัน
            3. โปรแกรมการสอนไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
            4. ใช้วิธีแก้ปัญหาเป็นหลักใหญ่ในการเรียนการสอน

 ปัญหาของหลักสูตรประสบการณ์

1. ปัญหาการกำหนดวิชาในหลักสูตร  หลักนี้นำเอาแนวความคิดใหม่มาใช้แทนที่จะคิดในรูปแบบของวิชาอย่างหลักสูตรรายวิชา แต่กับมองความสนใจในปัจจุบันของผู้เรียนเป็นหลักการกำหนดเนื้อหาจึงทำได้ยาก
2. ปัญหาการจัดแบ่งวิชาเรียนในชั้นต่างๆ ไม่สามารถสร้างความต่อเนื่องของเนื้อหาระหว่างวิชาเรียนได้และบางทีก็มีการจัดกิจกรรมซ้ำๆกันทุกปี ได้มีการแก้ไขโดยจัดทำตารางสอนของแต่ละปีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ผลเพราะตารางสอนพวกนั้นเป็นเรื่องของเก่าไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่าในแต่ละปีใหม่ ควรทำอะไรกัน





5. หลักสูตรรายวิชา






เป็นหลักสูตรที่ใช้กันมาตั้งแต่ดั้งเดิม โดยโครงสร้างเนื้อหาวิชาในหลักสูตร จะถูกแยกออกจากกันเป็นรายวิชาโดยไม่จำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ไม่ว่าด้านเนื้อหาหรือการสอน หลักสูตรของไทยเราที่ยังเป็นหลักสูตรรายวิชา ได้แก่ หลักสูตรมัธยมและอุดมศึกษา

 ลักษณะสำคัญของหลักสูตร

1.  จุดมุ่งหมายของหลักสูตร มุ่งส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนโดยใช้วิชาต่างๆ เป็นเครื่องมือ
2.  จุดมุ่งหมายของหลักสูตร อาจมีส่วนสัมพันธ์กับสังคมหรือไม่ก็ได้ และโดยทั่วไปหลักสูตรนี้ไม่คำนึงถึงผลที่เกิดแก่สังคมเท่าใดนัก
3. จุดประสงค์ของแต่ละวิชาในหลักสูตร เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และลักษณะในวิชานั้นๆ เป็นสำคัญ
4. โครงสร้างของเนื้อหาวิชา ประกอบด้วยเนื้อหาของแต่ละวิชาที่เป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกับวิชาอื่น และจะถูกจัดไว้อย่างมีระบบ เป็นขั้นตอน เพื่อสะดวกแก่การเรียนการสอน
5. กิจกรรมการเรียนการสอน เน้นเรื่องการถ่ายทอดความรู้ ด้วยการมุ่งให้ผู้เรียนจำเนื้อหาวิชา การส่งเสริมพัฒนาการในด้านอื่นๆ ถือว่าเป็นเรื่องกิจกรรมนอกหลักสูตร หรือไม่ก็เป็นผลพวงจากการเรียนรู้เนื้อหาวิชา
6.   การประเมินผลการเรียนรู้ มุ่งในเรื่องความรู้และทักษะในวิชาต่างๆ ที่ได้เรียนมา

 ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร

 ก.ส่วนดี

 1. จุดมุ่งหมายของหลักสูตรซึ่งเน้นเนื้อหาวิชา ช่วยให้เนื้อหาวิชาเป็นไปโดยง่าย
2. เนื้อหาวิชาจะถูกจัดไว้ตามลำดับขั้นอย่างมีระบบ เป็นการง่ายและทุ่นเวลาในการเรียนการสอน
3. การจัดเนื้อหาวิชาอย่างมีระบบ ทำให้การเรียนรู้เนื้อหาวิชาดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
 4. การประเมินผลการเรียนทำได้ง่ายเพราะมุ่งประเมินความรู้ที่ได้รับเป็นสำคัญ
  
 ข.ส่วนเสีย

1. หลักสูตรแบบนี้ทำให้ผู้สอนละเลยการเรียนรู้อื่นๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรียนเนื้อหา
2.หลักสูตรนี้มักจะละเลยความสนใจของผู้เรียนด้วยเหตุผลที่ว่ายึดหลักเหตุผลด้านเนื้อหาสาระของวิชาเกณฑ์โดยไม่คำนึงถึงหลักจิตวิทยา
3. หลักสูตรเน้นการถ่ายทอดความรู้ เนื้อหาที่กำหนดไว้จึงมักละเลยต่อสภาพและปัญหาของสังคมและท้องถิ่นทำให้เกดการเรียนรู้ที่ไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสังคมได้
  
การปรับปรุงหลักสูตร

1. จัดเรียงลำดับเนื้อหาให้ต่อเนื่องกัน คือ จัดเนื้อหาที่อยู่ในชั้นเดียวกันหรือระหว่างชั้น ให้ต่อเนื่องกัน โดยรักษาความเป็นวิชาของแต่ละวิชาไว้ การจัดมีอยู่ 2 แบบ คือ
               ก. จัดให้ต่อเนื่องตามแนวนอน คือ การจัดเนื้อหาของวิชาหนึ่งให้สัมพันธ์หรือต่อเนื่องกับของอีกวิชาหนึ่ง ซึ่งอยู่ในชั้นเดียวกัน
               ข. จัดให้ต่อเนื่องในแนวตั้ง คือ การจัดเนื้อหาที่อยู่ต่างชั้นกัน
2. จัดโดยการเชื่อมโยงเนื้อหาเข้าด้วยกัน คือจัดเนื้อหาของแต่ละวิชาให้เชื่อมโยงกันในลักษณะที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้เรียนมีพัฒนาการที่ผสมกลมกลืนไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกัน การเชื่อมโยงโดยวิธีการดังกล่าวนี้ทำได้ 2 ระดับ คือ
               ก. ระดับความคิดจุดหมายของหลักสูตรข้อหนึ่งที่เราต่างก็ยอมรับกัน  คือ  การพัฒนาความสามารถทางปัญญา  อันได้แก่ความรู้ความเข้าใจ  ทักษะ  เจตคติ  ความพึงพอใจ
               ข. ระดับโครงสร้าง คือ การจัดให้เนื้อหาในแต่ละวิชาเอื้อประโยชน์ต่อกันและกัน และเกิดประโยชน์ต่อวิชาอื่นๆ ด้วย




6.หลักสูตรแกน






เป็นหลักสูตรที่พยายามจะปลีกตัวออกจากการเรียนที่ต้องแบ่งแยกวิชาออกเป็นรายวิชาย่อยๆ และเพื่อที่จะดึงเอาความต้องการ และปัญหาของสังคมมาเป็นศูนย์กลางของหลักสูตร

  วิวัฒนาการของหลักสูตร

 เริ่มจากการใช้วิชาเป็นแกนกลางโดยเชื่อมเนื้อหาของวิชาที่สามารถนำมาสัมพันธ์กันได้ เข้าด้วยกัน แล้วกำหนดหัวข้อขึ้นให้มีลักษณะเหมือนเป็นวิชาใหม่ เช่น นำเอาเนื้อหาของวิชาชีววิทยา สังคมศึกษาและสุขศึกษามาเชื่อมโยงกันภายใต้หัวข้อ “สุขภาพและอนามัยของท้องถิ่น”โดยหลักสูตรแกน คือ หลักสูตรที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียน และเป็นหลักสูตรที่เน้นให้เรื่องปัญหาสังคมและค่านิยมของสังคม โดยกำหนดเค้าโครงของสิ่งที่จะสอนไว้อย่างชัดเจน

หลักสูตรแกนในเอเชีย

ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ใช้หลักสูตรแกนอยู่ในปัจจุบันนี้มีหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เนปาล ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ไทย  เวียดนาม ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ เพื่อช่วยให้มองเห็นภาพของหลักสูตรแกนของประเทศต่างๆ ในเอเชียชัดเจนยิ่งขึ้นขอนำเอาสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องมาสรุปเปรียบเทียบให้เห็นดังต่อไปนี้
ระดับการผสมผสานวิชาในหลักสูตร ที่มีการผสมผสานกันอย่างมากมายได้แก่ หลักสูตรของประเทศศรีลังกา ไทย เวียดนามและนิวซีแลนด์ ผสมผสานระดับปานกลาง ได้แก่ของจีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ส่วนหลักสูตรของเนปาลนั้นมีการผสมผสานกันน้อยมาก

ข้อสรุปเกี่ยวกับหลักสูตรแกน

หลักสูตรแกน เป็นหลักสูตรที่บังคับให้ทุกคนต้องเรียนอาจเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรแม่บท หรือเป็นตัวหลักสูตรแม่บทก็ได้ ส่วนใหญ่จะเน้นสังคม โดยยึดหน้าที่ของบุคคลในสังคมหรือเน้นการสร้างเสริมสังคมเป็นหลัก



 


7. หลักสูตรสัมพันธ์วิชา



เป็นหลักสูตรรายวิชาที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ การแก้ไขข้อบกพร่องทำโดยการนำเอาเทคนิคการสอนใหม่ๆ มาใช้ เช่น ให้ผู้เรียนร่วมในการวางแผนการเรียน และให้ผู้เรียนทำกิจกรรมต่างๆ นอกเหนือจากการท่องจำ เพื่อให้ผู้เรียนรู้เนื้อหาที่ต้องการ

 สำหรับวิธีการที่ใช้ในการสัมพันธ์วิชาเท่าที่ปฏิบัติกันมามีอยู่ 3 วิธีคือ

 1. สัมพันธ์ในข้อเท็จจริงกล่าวคือใช้ข้อเท็จจริงของวิชาส่วนหนึ่งมาช่วยประกอบการสอนอีกวิชาหนึ่ง

2. สัมพันธ์ในหลักเกณฑ์การสร้างความสัมพันธ์วิธีนี้เป็นการนำเอาหลักเกณฑ์หรือแนวความคิดของวิชาหนึ่งไปใช้อธิบายเรื่องราวหรือแนวความคิดของอีกวิชาหนึ่ง

3. สัมพันธ์ในแง่ศีลธรรมและหลักปฏิบัติในสังคม วิธีนี้คล้ายวิธีที่  2 แค่แตกต่างกันตรงที่ว่า แทนที่จะใช้หลักเกณฑ์หรือแนวความคิดเป็นตัวเชื่อมโยง กลับใช้หลักศีลธรรมและหลักปฏิบัติของสังคมเป็นเครื่องอ้างอิง

หลักสูตรสัมพันธ์วิชาช่วยให้ผู้เรียนมีความสนใจในสิ่งที่เรียนมากขึ้น และกว้างขวางกว่าเดิม และเปิดทางให้สามารถขยายงานด้านตำราเรียนได้กว้างขึ้น แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องที่แก้ไม่ได้ คือ รูปแบบของหลักสูตรยังคงเป็นหลักสูตรรายวิชาอยู่นั้นเอง








8. หลักสูตรเกลียวสว่าน 






เป็นการจัดเนื้อหาหรือหัวข้อเนื้อหาเดียวกันในทุกระดับชั้น แต่มีความยากง่ายและความลึกซึ่งแตกต่างกัน กล่าวคือในชั้นต้นๆจะสอนในเรื่องง่ายๆและค่อยๆเพิ่มความยากและความลึกลงไปตามระดับชั้นที่สูงขึ้นไป

ที่มาของแนวความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน

บรูเนอร์ เป็นนักการศึกษาท่านหนึ่งที่มีบทบาทมากในการเผยแพร่ความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่านบรูเนอร์มีความเชื่อว่าในเนื้อหาของแต่ละเนื้อหาวิชาจะมีโครงสร้างและการจัดระบบที่แน่นอน  จึงควรนำความจริงในข้อนี้มาใช้กับการจัดหลักสูตรโดยการจัดลำดับเนื้อหาให้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆอย่างมีระบบ จากง่ายไปหายากจากแนวความคิดนี้จึงมีการพัฒนาหลักสูตรในลักษณะบันไดวน  หรือเกลียวสว่านคือให้ลึกและกว้างออกไปเรื่อยๆตามอายุและพัฒนาการของเด็ก

หลักสูตรเกลียวสว่านตามแนวคิดของดิวอี้

ดิวอี้ เชื่อว่า การเจริญงอกงามขึ้นอยู่กับการฝึกใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาที่ได้มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าจากปัญหาที่กำหนดให้จากภายนอกและในขณะที่ผู้เรียนฝึกใช้สติปัญญากับการแก้ปัญหาเหล่านี้เขาจะได้ความคิดใหม่ๆและพลังในการทำงาน





9. หลักสูตรสูญ




เป็นชื่อประเภทของหลักสูตรที่ไม่แพร่หลายและไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก โดยไอส์เนอร์ เขาได้อธิบายถึงความเชื่อของเขาในเรื่องนี้ว่าเป็นหลักสูตรที่ไม่มีปรากฏอยู่ให้เห็นในแผนการเรียนรู้และเป็นสิ่งที่โรงเรียนไม่ได้สอน

ประเด็นที่ควรพิจารณา

 ในการกำหนดหลักสูตรสูญขึ้นมานั้นมีสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาอยู่ 2 ประเด็น คือ
     
         1. กระบวนการทางปัญญาที่โรงเรียนเน้นและละเลยเป็นกระบวนการทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้โดยเริ่มจากการรับรู้สิ่งต่างๆไปจนคิดหาเหตุผลทุกรูปแบบ
  
         2. เนื้อหาสาระที่มีอยู่และที่ขาดหายไปจากหลักสูตร

การนำความคิดของหลักสูตรสูญไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตร

เมื่อจะพิจารณาว่ามีกระบวนการใดหรือเนื้อหาใดขาดไปจากหลักสูตรก็จะต้องมีการกำหนดกรอบที่เป็นกลางๆเอาไว้อ้างอิงถ้าหากหลักสูตรไม่ได้ครอบคลุมถึงสิ่งที่เป็นเนื้อหากลางๆที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อการเรียนรู้ของเรียนแล้วหลักสูตรเหล่านั้นก็จะด้อยคุณค่าทันทีจากตัวอย่างการพิจารณานำวิชาตรรกวิทยามาบรรจุในหลักสูตรอนุบาลนั้นต้องถือว่า หลักสูตรสากลของอนุบาลศึกษาจะต้องไม่มีการเรียนวิชาตรรกวิทยา





 

 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แบบฝึกหัดบทที่ 10

1. การประเมินหลักสูตรมีความจำเป็นหรือไม่อย่างไร           ตอบ.หลักสูตรเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการศึกษาเพราะเป็นการขยายแนวคิดใ...