ความหมายของหลักสูตร
หลังจากเกิดตำราเรียนเล่มแรกของหลักสูตรแล้ว
ในระยะเวลาต่อมานักการศึกษาคนอื่น ๆ ได้ให้ความหมายของหลักสูตรที่แตกต่างไปดังนี้
ในพจนานุกรมการศึกษาของคาร์เตอร์ วี. กู๊ดได้ให้ความหมายของหลักสูตรไว้ว่า
กลุ่มรายวิชาที่จัดไว้อย่างมีระบบหรือลำดับวิชาที่บังคับสำหรับจบการศึกษาหรือเพื่อรับประกาศนียบัตรในสาขาวิชาต่าง
ๆ
หลักสูตรตามความเห็นของลาวาเทลลี หมายถึง ชุดของการเรียนและประสบการณ์สำหรับเด็กซึ่งโรงเรียนวางแผนไว้ให้เด็กบรรลุถึงจุดหมายของการศึกษา
หลักสูตรตามความเห็นของจอห์น จี. เซย์เลอร์และวิลเลียม เอ็ม. อเล็กซานเดอร์
หมายถึง แผนสำหรับจัดโอกาสการเรียนรู้ให้แก่บุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
เพื่อบรรลุเป้าหมายหรือจุดหมายที่วางไว้โดยมีโรงเรียนเป็นผู้รับผิดชอบ
สำหรับหลักสูตรตามความเห็นของแคสเวลและแคมป์เบล หมายถึง
หลักสูตรประกอบด้วยประสบการณ์ทุกอย่างที่จัดให้แก่เด็กโดยอยู่ในความดูแลและการสอนของครู
สำหรับอีกความหมายหนึ่งที่สำคัญของหลักสูตร คือ กิจกรรมที่ครูจัดให้นักเรียนได้เล่นเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้
ดังนั้นจากการให้ความหมายทั้งหมดของนักการศึกษาในอดีต
นักการศึกษาในปัจจุบันได้ดึงจุดเด่นของความหมายของคำว่าหลักสูตรนำมาผสมผสานกัน
จึงสรุปความหมายของคำว่าหลักสูตรได้ว่า หลักสูตร หมายถึง ประสบการณ์ต่าง ๆ
ที่จัดโดยสถานศึกษา ทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
และพัฒนาตนเองจนสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ได้
นิรุกติศาสตร์
สำหรับคำว่า curriculum
ในภาษาอังกฤษนั้น เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า "currere"
ซึ่งหมายถึงเส้นทางที่ใช้วิ่งแข่ง โดยคำ
คำนี้นำมาใช้เป็นครั้งแรกในทศวรรษที่ 1630 โดยมหาวิทยาลัยกลาสโกว์
ต่อมาได้นำศัพท์คำนี้มาใช้ในทางการศึกษาว่า "running sequence of
course or learning experiences" โดยเปรียบถึงการจะจบหลักสูตรใด
ๆ จำเป็นต้องฝ่าฟันความยากของวิชาหรือประสบการณ์การเรียนรู้ต่าง ๆ
เปรียบเหมือนนักวิ่งที่ต้องวิ่งฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อให้ได้รับชัยชนะ
ในสมัยก่อนประเทศไทยใช้คำว่าหลักสูตรในภาษาอังกฤษว่า
syllabus
ซึ่งปรากฏในหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้นและปลาย พุทธศักราช 2503
โดยใช้ฉบับภาษาอังกฤษว่า "Syllabus for Lower Secondary Education
B.E. 2503"[11] อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้ได้นำคำว่า syllabus
(ประมวลรายวิชา)
มาไว้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรและได้ให้ความหมายของคำคำนี้ว่า
ภาพรวมของหัวข้อหรือเรื่องที่ต้องศึกษาในการศึกษาหรือการฝึกงาน
ซึ่งความแตกต่างระหว่างคำว่าหลักสูตรและประมวลการสอนนั้นคือประมวลการสอนจะให้รายละเอียดของเนื้อหาวิชาที่เรียนทั้งจุดมุ่งหมาย
เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนการสอน การวัดและการประเมินผล
ในขณะที่หลักสูตรจะให้รายละเอียดภาพรวมทั้งหมด
ซึ่งเกี่ยวข้องกับรายวิชาที่ต้องศึกษาและเงื่อนไขการจบการศึกษาในระดับชั้นต่าง ๆ
ความสำคัญของหลักสูตร
หลักสูตรเปรียบเสมือนแนวทางในการจัดการเรียนการสอนและเป็นแนวทางสำคัญในการบรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษาของประเทศ
นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญของมาตรฐานการศึกษาในแต่ละประเทศ
ทั้งนี้เพราะการศึกษาของแต่ละประเทศจะดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นอยู่กับหลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้เป็นสำคัญ หลักสูตรยังมีความสำคัญอีกประการหนึ่งต่อการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน
กล่าวคือผู้สอนจะใช้หลักสูตรเป็นเสมือนแม่แบบในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนต่างๆ
เพื่อให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไม่หลงทางและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้อย่างครบถ้วน
สำหรับความสำคัญของหลักสูตรกับผู้เรียน
หากหลักสูตรนั้นเป็นหลักสูตรที่ดีจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต
รวมถึงสร้างทักษะอื่นๆทั้งการเคารพสิทธิมนุษยชนและสามารถยอมรับในความหลากหลายของผู้คนได้
พัฒนาการของหลักสูตร
พัฒนาการของหลักสูตรในโลกตะวันตก
หลักสูตรเริ่มมีพัฒนาการเป็นครั้งแรกตั้งแต่สมัยโบราณ
โดยมีหลักฐานปรากฏเกี่ยวกับการจัดทำหลักสูตรมากว่า 2,500 ปีมาแล้ว
อย่างไรก็ตามเป็นที่เข้าใจว่าคงมีการจัดทำหลักสูตรมาก่อนหน้านั้น แต่ไม่มีหลักฐานปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน
โดยหลักสูตรจะเน้นการดำรงชีวิตในสังคม รวมถึงการท่องจำบทบัญญัติหรือคัมภีร์ต่าง ๆ
ผู้ที่จบหลักสูตรเหล่านี้จะได้รับการยอมรับจากสังคม
นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรที่เน้นยุทธวิธีและพลศึกษาอีกด้วย ในสมัยกรีกโบราณ
ได้มีการจัดหลักสูตรเกี่ยวกับศิลปะและศีลธรรมเพิ่มเติมเข้ามา
ทั้งนี้เนื่องมาจากอิทธิพลของนักปราชญ์อย่างโสเครตีสและเพลโต
ส่งผลให้หลักสูตรที่เน้นเกี่ยวกับทางด้านการทหารนั้นถูกลดบทบาทลงไป
และส่งผลให้จุดมุ่งหมายของหลักสูตรจากแต่เดิมเน้นการดำรงชีวิตและการทหาร
ในหลักสูตรกรีกโบราณได้เปลี่ยนจุดมุ่งหมายเป็นการสร้างวินัยทางศีลธรรม
จิตใจอันบริสุทธิ์ ความคิดและการ กระทำที่ถูกต้องและเป็นจริง[18]
อย่างไรก็ตามหลักสูตรในรูปแบบนี้ใช้จัดการเรียนการสอนในหมู่ชนชั้นสูงเพียงเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราชได้เกิดกลุ่มโซฟิสต์ขึ้น
โดยกลุ่มโซฟิสต์จะเดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ และสอนโดยเก็บค่าเล่าเรียน
การสอนของกลุ่มโซฟิสต์นี้จะไม่เน้นทางด้านปรัชญา ศิลปะหรือการดนตรีมากนัก
ส่งผลให้การจัดหลักสูตรของกลุ่มโซฟิสต์จะเน้นหนักในการแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน
รวมไปถึงทางด้านภาษา ตรรกวิทยาและวรรณคดี
สำหรับหลักสูตรในโรมันจะเน้นหนักไปทางการท่องบทกวีของโฮเมอร์
กฎไวยากรณ์และหลักเกณฑ์การใช้ถ้อยคำโวหารหรือศิลปะการพูด[18]
โดยจัดการศึกษาโดยใช้ภาษาทั้งสิ้น 2 ภาษาในการเรียนการสอน คือภาษากรีกและภาษาละติน
นอกจากนี้แล้วยังนำเรื่องของการเล่นต่าง ๆ เข้ามาสอดแทรกในกระบวนการสอนอีกด้วย
การเรียนการสอนในยุคกลาง
หลักสูตรแบบกรีกและโรมันใช้เรื่อยมาอย่างยาวนาน
จนกระทั่งถึงในสมัยยุคกลางที่หลักสูตรเริ่มมีเนื้อหาและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างออกไปจากเดิม
โดยในสมัยนี้หลักสูตรแบบโรมันและกรีกค่อย ๆ เสื่อมลง
และหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นโดยศาสนาจักรเริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้น
โดยในหลักสูตรมักประกอบไปด้วยวิชาภาษาละติน ไวยากรณ์และศาสนวิทยา
จนกระทั่งเกิดการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
หลักสูตรแบบกรีกจึงกลับมาอีกครั้งและเกิดการจัดการศึกษาที่หลากหลายรูปแบบ[18]
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกี่ยวข้องกับหลักสูตร
กล่าวคือเฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ชาวอังกฤษได้โจมตีการศึกษาแบบดั้งเดิมที่เน้นด้านภาษาและวรรณกรรมแบบคลาสสิกนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร
และได้เสนอว่าในการจัดทำหลักสูตรนั้นควรพิจารณาว่าสิ่งใดมีคุณค่าต่อชีวิตและควรกำหนดระดับความสำคัญลดหลั่นกันลงไป
ซึ่งข้อเสนอของสเปนเซอร์นี้เองกลายเป็นแนวความคิดที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบัน
สำหรับพัฒนาการของหลักสูตรที่สำคัญนอกจากในทวีปยุโรปคือในสหรัฐอเมริกา
แม้ว่าในช่วงแรกจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของทวีปยุโรป
แต่ในระยะเวลาต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่
19ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
โดยได้เพิ่มรายวิชาใหม่ ๆ เข้าไปในหลักสูตรเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมศาสตร์ต่าง
ๆ ทั้งพีชคณิต ดาราศาสตร์และเคมี เป็นต้น ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่
20ได้เกิดการปฏิรูปหลักสูตรครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา
โดยเกิดจากอิทธิพลของจอห์น ดิวอี้ ทำให้หลักสูตรเน้นการศึกษาในด้านการพัฒนาสังคม
การเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รวมไปถึงการหาประสบการณ์ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1957
สหภาพโซเวียตสามารถปล่อยดาวเทียมสปุตนิกขึ้นไปในอวกาศได้
ส่งผลให้เกิดการปฏิรูปหลักสูตรให้มุ่งเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการในเฉพาะสาขาวิชา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตามหลักสูตรรูปแบบนี้เปลี่ยนแปลงในอีก 10
ปีต่อมาโดยเป็นหลักสูตรแบบผสมที่เน้นทั้งรายวิชาพื้นฐาน
รายวิชาสามัญและรายวิชาอาชีพ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเปลี่ยนรูปแบบการจัดหลักสูตรแบบใดก็ตาม
แนวคิดเรื่องการเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางก็ยังคงเป็นจุดเน้นที่สำคัญของหลักสูตรสหรัฐอเมริกา
พัฒนาการหลักสูตรในลาตินอเมริกา
พัฒนาการหลักสูตรในลาตินอเมริกานั้นสามารถย้อนไปได้ถึงในสมัยที่จักรวรรดิแอซเท็คและจักรวรรดิอินคามีอำนาจในช่วงเวลาประมาณคริสต์ศตวรรษที่
14 - 16 เนื่องจากปรากฏระบบการจัดการเรียนการสอนในขณะนั้น
โดยหลักสูตรของแอซเทคนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบหลักดังนี้
รูปแบบหลักสูตรแรกคือหลักสูตรสำหรับเด็กชายชนชั้นสูงซึ่งหลักสูตรจะเน้นการเรียนการสอนเพื่อการเป็นนักบวชในอนาคต
โดยหลักสูตรนี้จะเน้นการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ โหราศาสตร์
การเขียนและกฎหมายเป็นหลักหลักสูตรรูปแบบที่สองคือหลักสูตรสำหรับเด็กชายสามัญชน
ซึ่งจะเน้นการเรียนรู้ทางด้านการรบและพลศึกเป็นหลัก
และหลักสูตรรูปแบบสุดท้ายของแอซเท็คคือหลักสูตรสำหรับผู้หญิงซึ่งจะจัดการศึกษาโดยครอบครัวเป็นหลักส่วนหลักสูตรของอินคานั้น
ชนชั้นสูงจะอยู่ภายใต้การดูแลของนักปราชญ์ราชบัณฑิต
ในขณะที่หลักสูตรของคนสามัญมีลักษณะไม่เป็นทางการ เพราะจัดการเรียนการสอนโดยสถาบันครอบครัว
เมื่อกลุ่มกองกิสตาดอร์จากสเปนเข้ามาพิชิตจักรวรรดิต่างๆของชนพื้นเมืองได้แล้ว
เจ้าอาณานิคมได้ปฏิวัติระบบการเรียนการสอนและระบบหลักสูตรของดินแดนนี้ใหม่ทั้งหมด
โดยการนำหลักการทางศาสนาคริสต์
นิกายโรมันคาทอลิกเป็นหลักสูตรหลักเพื่อเปลี่ยนแปลงชนพื้นเมืองและทำให้ชนพื้นเมืองจงรักภักดี
ซึ่งหลักสูตรเหล่านี้กลายเป็นรากฐานของการพัฒนาหลักสูตรในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาในปัจจุบัน
พัฒนาการหลักสูตรในแอฟริกาใต้สะฮารา
ภูมิภาคแอฟริกาใต้สะฮารา
(Sub-Saharan
Africa) ไม่ได้มีการจัดการศึกษาอย่างเป็นระบบมากนักก่อนการเข้ามาของชาวตะวันตก
เนื่องจากไม่ปรากฏระบบโรงเรียนในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตามในช่วงก่อนการเข้ามาของชาวตะวันตกนั้นชาวพื้นเมืองในส่วนของแอฟริกาใต้สะฮารานั้นได้จัดทำหลักสูตรที่เน้นการเรียนการสอนทางด้านตำนานท้องถิ่นและพิธีกรรม
ซึ่งจะมีการสอดแทรกทางด้านคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมผ่านเรื่องราวเหล่านั้น
โดยมีผู้อาวุโสของชนเผ่าเป็นผู้จัดการเรียนการสอน
ในบางท้องที่ปรากฏการจัดทำหลักสูตรที่สอนเกี่ยวกับการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตโดยสังคม
ซึ่งใช้วิธีการการขัดเกลาทางสังคมเป็นวิธีหลักในการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรนี้
การจัดทำหลักสูตรในภูมิภาคนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากการเข้ามาของชาวยุโรป
โดยชาวยุโรปที่เข้ามาในระยะแรกส่วนใหญ่มักเป็นนักสำรวจและมิชชันนารีซึ่งนำการศึกษาแบบตะวันตกมาเผยแพร่ให้กับชาวพื้นเมืองโดยชาวยุโรปเหล่านี้เริ่มเข้ามาจัดการศึกษาในหลักสูตรแบบตะวันตกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่
15 โดยชาวโปรตุเกสแต่มีการดำเนินการจริงจังในคริสต์ศตวรรษที่ 18
ส่งผลให้หลักสูตรของภูมิภาคนี้ในระยะนี้มีลักษณะตามแบบชาติตะวันตกที่เป็นเจ้าอาณานิคม
โดยหลักสูตรจะเน้นการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ชาวพื้นเมืองมีความรู้พื้นฐานพอที่จะทำงานในระบบราชการได้
หลักสูตรแบบตะวันตกนี้เองได้เป็นรากฐานในการพัฒนาหลักสูตรของภูมิภาคนี้ในปัจจุบัน
พัฒนาการหลักสูตรในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ
หลักสูตรในภูมิภาคนี้พบการพัฒนาในระยะเบื้องต้นใน
อียิปต์โบราณ และเมโสโปเตเมีย ในเมโสโปเตเมียนั้นผู้ชายเท่านั้นที่ได้รับการศึกษา
โดยหลักสูตรการเรียนการสอนของเมโสโปเตเมียนั้นจะดำเนินการจัดการเรียนการสอนโดยผู้อาวุโส
ซึ่งจะจัดการเรียนการสอนในรายวิชาเหล่านี้คือ อักษรคูนิฟอร์ม คณิตศาสตร์ กฎหมาย
ชีววิทยา ดาราศาสตร์ ตำนานเทพเจ้า บทกวี เศรษฐศาสตร์ เกษตรกรรมและภาษาสำหรับผู้หญิงนั้นจะเน้นสอนกันเองภายในครอบครัว
โดยเน้นเรื่องงานบ้านเป็นหลัก ในอียิปต์โบราณนั้น
ผู้ชายชนชั้นสูงสามารถเข้าถึงการศึกษาได้มากกว่าผู้ชายชนชั้นล่างและผู้หญิง
โดยเน้นการจัดการเรียนการสอนให้กับ 2 กลุ่มหลักคือนักบวชและอาลักษณ์
โดยหลักสูตรของทั้ง 2 กลุ่มจะเน้นการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการจดจำสิ่งต่างๆ
และใช้การลงโทษเป็นการเสริมแรงให้เกิดการเรียนรู้
เมื่อศาสนาอิสลามเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้
ส่งผลให้การพัฒนาหลักสูตรได้รับอิทธิพลโดยตรงจากศาสนา
โดยมีการก่อตั้งมาดราซาห์เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการจัดการเรียนการสอน
โดยหลักแล้วหลักสูตรของอิสลามจะเน้นการเรียนการสอนทางด้านศาสนาเป็นหลัก
กล่าวคือมีการบรรจุรายวิชาภาษาอาหรับ ตัฟซีร กฎหมายชะรีอะฮ์ หะดีษ ตรรกศาสตร์และประวัติศาสตร์อิสลาม
นอกจากนี้แล้วในหลักสูตรยังบรรจุรายวิชาอื่นๆอีกด้วยขึ้นอยู่กับแต่ละมาดราซาห์
โดยบางสถาบันอาจเพิ่มเติมรายวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่นๆเข้าไปผสมผสานอีกด้วย
สำหรับหลักสูตรรูปแบบนี้เป็นรากฐานในการพัฒนาหลักสูตรของกลุ่มประเทศที่นับถิอศาสนาอิสลามในปัจจุบัน
โดยผสมผสานกับหลักสูตรแบบสมัยใหม่
พัฒนาการหลักสูตรในเอเชีย
หลักสูตรในทวีปเอเชียนั้น
แม้จะไม่มีการใช้คำว่าหลักสูตรอย่างเป็นทางการ
แต่ก็ปรากฏลักษณะของหลักสูตรตั้งแต่สมัยโบราณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกและอนุทวีปอินเดีย
สำหรับพัฒนาการหลักสูตรในอนุทวีปอินเดียนั้นสามารถย้อนไปได้ถึงสมัยพระเวท
โดยหลักสูตรในสมัยนี้นั้นจะเน้นการจัดการเรียนการสอนในด้านการสวดพระเวท ไวยากรณ์
ธรรมชาติ การให้เหตุผล บทกวี วิทยาศาสตร์ รวมไปถึงทักษะทางอาชีพต่างๆสำหรับการประกอบอาชีพในอนาคต
โดยการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรจะใช้ภาษาสันสกฤตเป็นหลัก ในช่วงเวลาประมาณ
คริสต์ศตวรรษที่ 5เริ่มมีการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
โดยมีหลักสูตรในการสอนศาสตร์ต่างๆ เช่น การแพทย์ ศิลปะ วรรณกรรม ศาสนา เป็นต้น เมื่ออิทธิพลของศาสนาอิสลามเข้ามาในภูมิภาครูปแบบหลักสูตรจึงอิงตามรูปแบบหลักสูตรของอิสลามโดยควบคู่กับหลักสูตรแบบฮินดูดั้งเดิม
อย่างไรก็ตามหลักสูตรของภูมิภาคนี้เปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองอนุทวีป
โดยอังกฤษนำหลักสูตรแบบตะวันตกเข้ามาใช้และกลายเป็นรากฐานของการพัฒนาหลักสูตรในระยะเวลาต่อมา
สำหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกนั้น
ปรากฏหลักฐานของการศึกษาย้อนไปได้ถึงในสมัยราชวงศ์เซี่ย
อย่างไรก็ตามหลักสูตรในภูมิภาคนี้เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในช่วงประมาณ 500
ปีก่อนคริสตกาล โดยหลักสูตรและการจัดการศึกษาในช่วงนี้จะได้รับอิทธิพลจากลัทธิขงจื๊ออย่างชัดเจน
ซึ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนในทักษะพื้นฐานเพื่อนำไปใช้ในการสอบบรรจุเป็นข้าราชการ
โดยอิทธิพลของลัทธิขงจื๊อนั้นแทรกซึมอยู่ในหลักสูตรของกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกอื่นๆทั้งในญี่ปุ่นและเกาหลี
อย่างไรก็ตามเกิดการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอีกครั้งในภูมิภาคนี้
โดยญี่ปุ่นเริ่มรับอิทธิพลหลักสูตรและการศึกษาแบบตะวันตกเข้ามาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่
19 ส่วนในประเทศจีนรับอิทธิพลทางการศึกษาและหลักสูตรแบบตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่
20
พัฒนาการของหลักสูตรในไทย
สำหรับประเทศไทย
แม้ว่าจะไม่มีการคิดค้นหรือบัญญัติคำว่าหลักสูตรไว้ใช้ในสมัยก่อน
แต่พบลักษณะของหลักสูตรและการพัฒนาหลักสูตร
โดยพัฒนาการของหลักสูตรไทยสามารถย้อนไปได้ถึงสมัยอาณาจักรสุโขทัย
โดยในสมัยสุโขทัยนั้นจะมีศูนย์กลางการเรียนรู้อยู่ทั้งสิ้น 2 แห่ง แห่งแรกคือวัด
ซึ่งให้การศึกษาแก่ลูกหลานขุนนางและสามัญชนผ่านการบวชเรียน
และสำนักราชบัณฑิตซึ่งทำหน้าที่ในการสอนพระบรมวงศานุวงศ์
โดยวิชาที่จัดการเรียนการสอนในสมัยนั้นคือภาษาบาลีและภาษาไทย
ทั้งนี้เพื่อต่อยอดในการศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในอนาคต ดังนั้นหลักสูตรในสมัยนี้จะเน้นเนื้อหาสาระของพระธรรมวินัย
รวมไปถึงการปฏิบัติตนตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอีกด้วย
สำหรับหลักสูตรของผู้หญิงจะปรากฏในรูปแบบของการศึกษานอกระบบเน้นการบ้านการเรือนเป็นหลัก
เมื่อถึงสมัยอยุธยา การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรลักษณะนี้ปรากฏเรื่อยมาจนกระทั่งถึงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
โดยในสมัยนี้มีสำนักราชบัณฑิตเกิดขึ้นอย่างมากมาย
รวมไปถึงมีการแต่งแบบเรียนที่สำคัญมากแบบเรียนหนึ่งคือ "จินดามณี"
นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศหลายภาษา เช่น ภาษาสันสกฤต
ภาษาลาว ภาษาฝรั่งเศส และภาษาจีน เป็นต้น
ดังนั้นหลักสูตรตั้งแต่สมัยนั้นจึงมีลักษณะการเน้นท่องจำจากแบบเรียนเป็นหลัก
ซึ่งการศึกษาในรูปแบบนี้มีอิทธิพลต่อเนื่องมาในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น
นอกจากการศึกษาในรูปแบบไทยจารีตแล้วยังพบการศึกษาตามหลักสูตรตะวันตกอีกด้วย
ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ส่งมหาดเล็กของพระองค์เข้าศึกษาตามหลักสูตรของฝรั่งเศสอีกด้วย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การศึกษาได้ดำเนินรูปแบบเดิมมาอย่างต่อเนื่อง
จนกระทุ่งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา พระองค์ทรงเริ่มปฏิรูปการศึกษาแต่เดิม
โดยมีการจัดจ้างสตรีชาวต่างชาติเข้ามาสอนพระราชโอรสและพระราชธิดาภายในพระบรมมหาราชวังที่สำคัญคือแอนนา
เลียวโนเวนส์ นอกจากนี้ในสมัยนี้มีการจัดทำหลักสูตรเน้นวิชารวม 3 วิชาคือภาษาไทย
ภาษาบาลีและคณิตศาสตร์ จนกระทั่งถึงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เริ่มมีการปฏิรูปการศึกษาอย่างตะวันตกแบบจริงจัง
ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร โดยหลักสูตรแนวตะวันตกได้มีอิทธิพลอย่างชัดเจนต่อการพัฒนาหลักสูตรในไทย
โดยหลังจากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา
โดยหลักสูตรเริ่มแรกในปี พ.ศ. 2432 ได้มีการแบ่งหลักสูตรออกเป็น 3 ประโยค
แต่ละประโยคจะมีทั้งสิ้น 3 ชั้น (ยกเว้นประโยค 3 มี 4 ชั้น)
โดยจะเน้นวิชาภาษาไทยและคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐาน
หลักสูตรในยุคนี้จึงเป็นหลักสูตรที่เน้นในด้านเนื้อหาวิชาเป็นหลัก[18] อย่างไรก็ตามได้มีการปรับโครงสร้างหลักสูตรในเวลาต่อมา
แต่ยังคงเป็นหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชาเป็นหลัก
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการเพิ่มหลักสูตรสำหรับการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา
รวมไปถึงเพิ่มวิชาลูกเสือ - เนตรนารีเข้าไว้ในหลักสูตรอีกด้วย
อย่างไรก็ตามหลักสูตรที่เน้นในด้านเนื้อหาวิชาเป็นหลักได้นำมาใช้จนสิ้นสุดในปี
พ.ศ. 2521 หลังจากการปฏิรูปหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ โดยหลักสูตรหลัง พ.ศ.
2521 เป็นต้นมา จะนำหลักสูตรในหลายๆรูปแบบเข้ามาผสมผสานกัน
โดยหลักสูตรแรกที่เกิดจากการนำหลักสูตรหลายรูปแบบมาผสมผสานกันคือ หลักสูตรประถมศึกษา
พ.ศ. 2521
พื้นฐานของหลักสูตร
อิทธิพลของแนวความคิดต่าง
ๆ ล้วนมีอิทธิพลต่อการพัฒนาหลักสูตรทั้งสิ้น
โดยแนวความคิดใดได้รับความนิยมเชื่อถือเป็นอย่างมากในขณะนั้นก็จะมีอิทธิพลสูงมากต่อหลักสูตรในยุคสมัยนั้น
โดยพื้นฐานสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาหลักสูตรนั้นประกอบไปด้วย ปรัชญาการศึกษา
จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาการเรียนรู้ สภาพสังคม วัฒนธรรม
เทคโนโลยีและประวัติศาสตร์
พื้นฐานปรัชญาการศึกษา
ดูเพิ่มเติมที่: ปรัชญาการศึกษา
ปรัชญาการศึกษาเป็นแหล่งรวบรวมอุดมคติ
อุดมการณ์อันสูงสุดซึ่งยึดเป็นหลักการในการจัดการศึกษา
เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาตลอดจนกระบวนการในการเรียนการสอน
ปรัชญาการศึกษาจึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจในการพัฒนาหลักสูตร
รวมถึงเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อการสอนทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต
ดังนั้นแต่ละประเทศหรือสถานศึกษาจำเป็นต้องหยิบยกหลักปรัชญาการศึกษาที่สำคัญสอดแทรกไว้ในหลักสูตรเสมออาจเป็นการนำปรัชญาเพียงปรัชญาเดียวมาประยุกต์ใช้หรือนำหลาย
ๆ ปรัชญาเข้ามาผสมผสานในหลักสูตรก็ได้
สำหรับหลักปรัชญาการศึกษาที่มีผลต่อการพัฒนาหลักสูตร ประกอบไปด้วย สารัตถนิยม นิรันตรนิยม
พิพัฒนาการนิยม ปฏิรูปนิยม และอัตถิภาวนิยม
สำหรับหลักสูตรใดที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม
ปรัชญาสารัตถนิยมเชื่อว่าจะต้องเน้นการถ่ายทอดความรู้พื้นฐานสู่นักเรียนอย่างเป็นระบบ
ดังนั้นหลักสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดนี้จะเน้นความเข้มข้นทางวิชาการเป็นอย่างมาก
หลักสูตรประเภทนี้จึงเน้นหนักทางด้านเนื้อหาวิชาที่เห็นว่ามีความจำเป็น เช่น
วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เป็นต้น รวมไปถึงเน้นลักษณะการศึกษาเชิงปริมาณและการเรียนรู้ข้อเท็จจริง
สำหรับหลักสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม
ปรัชญานิรันตรนิยมเป็นปรัชญาที่เชื่อในเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ว่าทุกคนมีศักยภาพธรรมชาติในตัว
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม แก่นแท้ของมนุษย์ก็มิได้เปลี่ยนไป
ดังนั้นภารกิจหลักของการศึกษาจึงอยู่ที่จะต้องปรุงแต่งคนให้เป็นคนโดยสมบูรณ์
และทำให้ผู้เรียนตระหนักถึงธรรมชาติที่แท้จริงอันแฝงอยู่ภายในตน
หลักสูตรแบบนิรันตรนิยมจึงเน้นการศึกษาที่มุ่งคนให้คน และเน้นการศึกษาศิลปะและวรรณคดีต่าง
ๆ ตามรูปแบบของกรีก
จอห์น ดิวอี้
นักปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม
สำหรับหลักสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม
หลักปรัชญาพิพัฒนาการนิยมจะเชื่อว่าความรู้เป็นเครื่องมือในการหาประสบการณ์และการจัดการศึกษาต้องเน้นถึงความถนัดและความสนใจของผู้เรียน
นอกจากนี้หลักปรัชญานี้ยังเน้นให้เกิดวิธีการเรียนแบบแก้ปัญหาหรือเรียนด้วยการปฏิบัติและมีความเชื่อว่าการศึกษาคือชีวิต
ดังนั้นหลักสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญานี้จะพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงพื้นฐานความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังนำวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาสอดแทรกในการเรียนรู้และหลักสูตรจะเปิดโอกาสให้ลงมือทำได้จริง
สำหรับหลักสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม
ปรัชญาปฏิรูปนิยมจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับหลักปรัชญาพิพัฒนาการนิยมเป็นอย่างมาก
แต่จะมีความแตกต่างที่เป้าหมายของสังคม
โดยปรัชญาแบบปฏิรูปนิยมจะเน้นให้เกิดความตระหนักในสังคม
มีความรู้ความสามารถในการออกไปปฏิรูปสังคมได้[56]
ดังนั้นหลักสูตรนี้จึงมีลักษณะพิเศษที่จะเน้นการศึกษาทางด้านสังคมศาสตร์และระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์
การศึกษาสภาวะทางเศรษฐกิจและปัญหาทางการเมือง รวมไปถึงจะเน้นประเด็นและแนวโน้มที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต
สำหรับปรัชญาที่สำคัญต่อการพัฒนาหลักสูตรอีกปรัชญาหนึ่งคือปรัชญาอัตถิภาวนิยม
ปรัชญาอัตถิภาวนิยมเป็นปรัชญาการศึกษาที่เกิดขึ้นหลังจากปรัชญาการศึกษาทั้งสี่ที่ได้กล่าวถึงข้างต้น
โดยปรัชญานี้เชื่อว่าในโลกมีสิ่งที่ให้ศึกษาอย่างมากมายเกินกว่าที่มนุษย์จะเรียนรู้ได้
ดังนั้นมนุษย์ควรขวนขวายหาความรู้ด้วยตนเอง ไม่ควรรอให้ใครเป็นผู่ถ่ายทอดให้
โดยมุ่งหวังให้คนมีความรับผิดชอบและมีอิสรภาพในการเลือกสิ่งที่เรียนด้วยตนเอง
ส่งผลให้หลักสูตรที่เกิดจากปรัชญาอัตถิภาวนิยมจะมีโครงสร้างหลักสูตรที่มีให้วิชาเลือกเสรีให้เลือกอย่างหลากหลายตามความถนัดและความสนใจของผู้เรียน
พื้นฐานด้านจิตวิทยาพัฒนาการ
ดูเพิ่มเติมที่: จิตวิทยาพัฒนาการ
จิตวิทยาพัฒนาการเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ในช่วงวัยต่างๆ[58]
โดยเป็นสิ่งช่วยระบุได้ว่ามนุษย์ในแต่ละวัยมีศักยภาพใดบ้างที่สามารถทำได้และมีศักยภาพใดที่ต้องส่งเสริม
ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรในแต่ละครั้งจึงจำเป็นต้องคำนึงพื้นฐานทางจิตวิทยาพัฒนาการของผู้เรียน
โดยในแต่ละวัยจะมีจุดเน้นที่แตกต่างกัน เช่น
ในวัยปฐมวัยจะเรียนรู้ความรู้จากการเล่นและการสัมผัส
ดังนั้นหลักสูตรจะต้องกำหนดให้สัมพันธ์กับหลักการจิตวิทยาพัฒนาการ
การวางหลักสูตรจำเป็นต้องวางเนื้อหาจากง่ายไปยาก[56]
นอกจากนี้แล้วการจัดทำหลักสูตรจำเป็นต้องคำนึงถึงความแตกต่างทางเพศ
ความแตกต่างเฉพาะบุคคล รวมไปถึงอัตราความเร็วของความเจริญเติบโต
ซึ่งจำเป็นต้องจัดให้ผู้เรียนแต่ละคนอย่างเหมาะสมและเน้นการพัฒนาทั้งทางร่างกาย
จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญาไปพร้อมๆกัน
พื้นฐานด้านจิตวิทยาการเรียนรู้
ดูเพิ่มเติมที่: จิตวิทยาการเรียนรู้
จิตวิทยาการเรียนรู้
หมายถึง จิตวิทยาที่ใช้ในการถ่ายทอดความรู้
ดังนั้นจิตวิทยาการเรียนรู้สามารถช่วยให้การจัดทำหลักสูตรเป็นไปได้โดยง่ายมากขึ้น
ทั้งนี้เพราะจิตวิทยาการเรียนรู้จะอธิบายถึงวิธีการเรียนรู้ของมนุษย์
ธรรมชาติของกระบวนการเรียนรู้ รวมไปถึงอุปสรรคในการเรียนรู้ของมนุษย์
โดยการเรียนรู้ของมนุษย์นั้นสามารถแบ่งแยกออกได้เป็น 3 กลุ่มทฤษฎี
ซึ่งแต่ละทฤษฎีล้วนมีอิทธิพลต่อการจัดทำหลักสูตร
โดยแต่ละทฤษฎีคือจิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
จิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม และจิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มแรงจูงใจ
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้หลักสูตรไม่ได้มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
แต่เป็นการนำข้อดีทฤษฎีของแต่ละกลุ่มเข้ามาผสมผสานกัน
สำหรับจิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยมนั้น
มีความเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากพฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้า
และสามารถสังเกตการเรียนรู้ของมนุษย์ได้จากพฤติกรรมภายนอก[60]
หลักสูตรตามแนวทฤษฎีนี้จึงมีลักษณะการแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนๆให้เหมาะสมเมื่อผู้เรียนเรียนเนื้อหาหลายส่วนแล้วจะเกิดการเรียนรู้ในสิ่งที่ยากขึ้นมาเอง
นอกจากนี้หลักสูตรควรจะให้เรียนรู้เป็นบุคคล เมื่อเรียนรู้สำเร็จในแต่ละขั้นจะได้รับการเสริมแรงทันที
นอกจากนี้ครูต้องสามารถตั้งจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมได้
เพื่อให้การเรียนการสอนตามหลักสูตรเป็นไปได้ด้วยดี
สำหรับจิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยมหรือปัญญานิยม
มีความเชื่อในเรื่องการใช้เหตุผล โดยการเรียนรู้จะเกิดจากการรับรู้
การทำความเข้าใจ การแก้ปัญหา ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกี่ยวเนื่องกับทางด้านความคิดและสติปัญญา
ดังนั้นหลักสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยมนั้นจะมีลักษณะเน้นพัฒนาการทางด้านสติปัญญา
เน้นให้ครูเป็นผู้อำนวยการการเรียนรู้และจัดเตรียมเนื้อหา
รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสค้นพบข้อความรู้ด้วยตนเอง
สำหรับจิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มแรงจูงใจ
มีความเห็นว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้อย่างดีนั้น
ต้องมีแรงจูงใจเป็นหลักและบรรยากาศการเรียนรู้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก
ไม่ควรบังคับให้ผู้เรียนเรียนรู้ในสิ่งที่ตนไม่อยากเรียน
ดังนั้นหลักสูตรที่เกิดจากแนวจิตวิทยานี้จะมีลักษณะยืดหยุ่น
ให้ผู้เรียนเลือกเรียนได้ตามความถนัดและความสนใจ
มีการจัดวิชาเลือกเสรีเป็นจำนวนมากเพียงพอต่อความต้องการของผู้เรียน
ซึ่งหลักการนี้จะคล้ายคลึงกับหลักปรัชญาอัตถิภาวนิยม
พื้นฐานด้านสภาพสังคม
สภาพสังคมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
และในแต่ละสังคมต่างมีค่านิยม แนวคิด ความเชื่อ ศาสนาและการปกครองที่แตกต่างกัน
ดังนั้นหลักสูตรจะต้องสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมอยู่เสมอ
รวมไปถึงเหมาะสมกับสภาพสังคมนั้นๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถออกไปเป็นพลเมืองที่มีประสิทธิภาพได้ยกตัวอย่างเช่นในประเทศไทยมีรูปแบบการปกครองระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ในหลักสูตรจะมีการกำหนดเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งในที่นี้กำหนดไว้ในคุณลักษณะอันพึงประสงค์และเนื้อหาสาระของวิชาต่างๆ
เพื่อให้เป็นผู้เรียนพลเมืองตามที่สังคมต้องการได้
พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
ในระยะหลังมาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความเจริญขึ้นเป็นอย่างมาก
ส่งผลให้หลักสูตรและการศึกษามีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัว
หลักสูตรในยุคแห่งข้อมูลข่าวสารนั้นจะต้องเป็นหลักสูตรที่ช่วยให้ผู้เรียนมีศักยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
รวมถึงจะต้องนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการจัดกระบวนการเรียนการสอนด้วย
รูปแบบของหลักสูตร
หลักสูตรแต่ละหลักสูตรจะได้รับอิทธิพลจากพื้นฐานในด้านต่างๆที่แตกต่างกันออกไปทั้งในด้านปรัชญาการศึกษา
จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาการเรียนรู้ สภาพสังคมและการเมือง วัฒนธรรม
เทคโนโลยีและประวัติศาสตร์ จึงส่งผลให้หลักสูตรในแต่ละรูปแบบมีความแตกต่างกันออกไป
สำหรับรูปแบบของหลักสูตรสามารถแบ่งออกได้ทั้งสิ้น 6 รูปแบบ คือ
หลักสูตรเน้นสาขาวิชา หลักสูตรประสบการณ์ หลักสูตรแกน หลักสูตรประสบการณ์
หลักสูตรกระบวนการ หลักสูตรเกณฑ์ความสามารถและหลักสูตรบูรณาการ
โดยลักษณะของแต่ละหลักสูตรมีดังนี้ หลักสูตรเน้นสาขาวิชา
หลักสูตรเน้นสาขาวิชา
หลักสูตรรูปแบบนี้จะเน้นเนื้อหารายวิชาในการเรียนเป็นหลัก
โดยหลักสูตรรูปแบบนี้ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาสารัตถนิยมและปรัชญานิรันตรนิยม
โดยหลักสูตรจะจัดให้มีการเรียนการสอนแยกออกเป็นรายวิชาต่างๆ
โดยเนื้อหารายวิชาจะมีการจัดเรียงลำดับตามระเบียบแบบแผน
โดยเน้นการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนสู่ผู้เรียนเป็นหลัก
รวมไปถึงเป็นหลักสูตรที่ไม่ได้คำนึงถึงความต้องการของผู้เรียนอีกด้วย
หลักสูตรในรูปแบบนี้สามารถแบ่งแยกย่อยได้อีก 3 ประเภท คือ
หลักสูตรสหสัมพันธ์ คือ
หลักสูตรที่นำรายวิชาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
นำมาจัดสอนเป็นวิชาเดียวกันหรือส่งเสริมการเรียนการสอนของแต่ละวิชาซึ่งกันและกัน
ซึ่งทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนครั้งเดียวแต่ได้รับความรู้ของทั้ง 2 วิชา
หลักสูตรแบบผสมผสาน
เป็นหลักสูตรที่นำรายวิชาต่างๆที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือใกล้เคียงกัน
นำมาจัดรวมกันเข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สะดวกต่อการเรียนการสอนและการประเมินผล
เช่น การแบ่งออกเป็นหมวดภาษาไทย หมวดคณิตศาสตร์ เป็นต้น
หลักสูตรแบบกว้าง เป็นหลักสูตรที่พยายามลดเอกลักษณ์ของแต่ละรายวิชาลงไป
โดยนำเนื้อหาวิชาที่มีลักษณะใกล้เคียงกันจัดออกเป็นหมวดหมู่อย่างกว้างๆ
เพื่อให้เกิดการประสานสัมพันธ์ของเนื้อหาวิชามากขึ้น
ซึ่งหลักสูตรในรูปแบบนี้จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ในรายวิชาต่างๆอย่างหลากหลาย
และสามารถนำไปต่อยอดใช้ในชีวิตประจำวันได้
หลักสูตรประสบการณ์
หลักสูตรประสบการณ์เป็นหลักสูตรที่ปรับปรุงข้อบกพร่องที่เกิดจากหลักสูตรเน้นสาขาวิชาที่ไม่คำนึงถึงความต้องการของผู้เรียน
โดยหลักสูตรนี้จะยึกหลักปรัชญาพิพัฒนาการนิยมมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนน หลักสูตรประสบการณ์จึงเป็นหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง โดยมีผู้สอนเป็นผู้จัดเตรียมประสบการณ์
และผู้เรียนสามารถนำประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนการสอนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
หลักสูตรแกน หลักสูตรแกนเป็นหลักสูตรที่พัฒนาตามหลักปรัชญาปฏิรูปนิยม
เป็นหลักสูตรที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1900
เพื่อให้หลุดพ้นจากข้อจำกัดของหลักสูตรแบบแยกรายวิชา
โดยเน้นเนื้อหาทางด้านสังคมและพลเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาของสังคม
หลักสูตรกระบวนการ หลักสูตรกระบวนการที่เน้นทักษะกระบวนการ
มากกว่าเนื้อหาวิชา หลักสูตรนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งเอื้อต่อหลักการการเรียนรู้ตลอดชีวิต
เนื้อหาสาระในหลักสูตรจึงเป็นสิ่งที่เอื้อให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
หลักสูตรเกณฑ์ความสามารถ
หลักสูตรเกณฑ์ความสามารถเป็นหลักสูตรที่จัดขึ้นเพื่อดูว่าผู้เรียนสามารถผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่ตั้งไว้ได้หรือไม่
โดยการจัดหลักสูตรจะมีความต่อเนื่องเป็นระบบในระดับยากง่ายและความกว้างขวางของประสบการณ์
หลักสูตรบูรณาการ หลักสูตรบูรณาการเป็นหลักสูตรที่นำเนื้อหาวิชา 2
วิชาขึ้นไปที่มีความสัมพันธ์กันมาเชื่อมโยงกันจนเกิดหลักสูตรใหม่
โดยอาจเป็นการบูรณาการในสาขาวิชาเดียวกัน
การบูรณาการระหว่างต่างสาขาวิชาหรือการบูรณาการภายในตัวผู้เรียนและการประสานกันระหว่างผู้เรียนก็ได้
การพัฒนาหลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้
การพัฒนาหลักสูตร
มีความหมายอยู่ 2 นัยยะ คือ นัยยะแรกจะหมายถึงการสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่
ในขณะที่อีกนัยยะหนึ่งจะหมายถึงการพัฒนาหลักสูตรเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น
โดยการพัฒนาหลักสูตรนั้นมีอยู่หลายระดับทั้งในระดับชาติซึ่งองค์กรระดับชาติจะเป็นผู้พิจารณาพัฒนาหลักสูตร
หรือหลักสูตรท้องถิ่นที่มีท้องถิ่น สำนักงานการศึกษาท้องที่เป็นผู้พัฒนา
รวมไปถึงหลักสูตรในห้องเรียนที่มีครูผู้สอนเป็นผู้พัฒนา
โดยรูปแบบหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดคือรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์
โดยรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของราล์ฟ ไทเลอร์ที่เสนอในปี ค.ศ. 1949
นั้นจะคำนึงถึงจุดมุ่งหมายของการศึกษา ประสบการณ์ทางการศึกษาที่จะจัดให้
การจัดประสบการณ์ รวมไปถึงการประเมินผลการจัดประสบการณ์
เมื่อมีการพัฒนาหลักสูตรแล้ว
จะต้องนำหลักสูตรที่ได้รับการพัฒนาแล้วลงมาใช้จริง เพื่อให้หลักสูตรนั้นบรรลุประสงค์ที่ตั้งไว้
โดยการที่จะนำหลักสูตรไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องพัฒนาเอกสารประกอบหลักสูตร
สร้างความเข้าใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงสร้างสื่อประเภทต่างๆ
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้การนำหลักสูตรไปใช้ในการเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
หลังจากนั้นประชาสัมพันธ์หลักสูตรให้ทั่วถึงกันแล้วนำหลักสูตรไปใช้จริง
โดยในช่วงก่อน ระหว่างและหลังการใช้หลักสูตรนั้นจะมีการประเมินผลหลักสูตรอย่างสม่ำเสมอ
การประเมินผลหลักสูตร
การประเมินผลหลักสูตรเป็นการวัดผลของหลักสูตรว่าการนำหลักสูตรไปใช้มีความเหมาะสมหรือไม่
หรือมีอุปสรรคใดๆระหว่างการนำหลักสูตรไปใช้
นอกจากนี้ยังเป็นการประเมินว่าส่วนไหนของหลักสูตรควรยกเลิกหรือควรแก้ไขปรับปรุงประการใด
โดยการประเมินหลักสูตรจะต้องประเมินทั้งตัวหลักสูตร การนำหลักสูตรไปใช้
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนและระบบหลักสูตร
โดยมีนักการศึกษาและนักพัฒนาหลักสูตรหลายรายได้นำเสนอรูปแบบการประเมินผลหลักสูตร
รูปแบบการประเมินผลหลักสูตรที่สำคัญและได้รับการยอมรับกว้างขวางมีดังนี้คือการใช้เทคนิกวิเคราะห์แบบปุยแซงค์
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ รูปแบบการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสคริฟเวน รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของโพรวัส และรูปแบบการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีม
การใช้เทคนิกวิเคราะห์แบบปุยแซงค์
การใช้เทคนิกวิเคราะห์แบบปุยแซงค์
(อังกฤษ: Puissance Analysis Technique) เป็นการประเมินหลักสูตรที่ใช้สำหรับหลักสูตรที่มีการจัดทำขึ้นใหม่
โดยเน้นวิเคราะห์องค์ประกอบหลักสูตร 3 ประการคือ จุดมุ่งหมาย กระบวนการเรียนรู้และการประเมินผลการเรียนรู้
การวิเคราะห์คุณภาพของหลักสูตรตามเทคนิกการวิเคราะห์ของปุยแซงค์นั้นจะนำองค์ประกอบย่อยในส่วนต่างๆมาคำนวณในตารางวิเคราะห์ปุยแซงค์
แล้วคำนวณค่า Puissance Measurement (P.M.) ขึ้นมา
ซึ่งเมื่อวิเคราะห์แล้วพบว่าค่า P.M. มีค่าเท่ากับ 10 ขึ้นไป
หลักสูตรนั้นจะถือได้ว่าเป็นหลักสูตรที่มีคุณภาพ
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์
หรือ รูปแบบวัตถุประสงค์เป็นศูนย์กลาง (อังกฤษ: Tyler’s
Objectives-Centered Model) คิดขึ้นขึ้นโดยราล์ฟ ไทเลอร์
โดยเป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรที่พิจารณาเป้าหมายเป็นหลัก[78]
สำหรับการประเมินหลักสูตรตามจะพิจารณาจากความสัมพันธ์ของจุดมุ่งหมาย ประสบการณ์เรียนรู้และผลสัมฤทธิ์
นอกจากนี้ยังเน้นประเมินถึงศักยภาพและจุดเด่นจุดด้อยของตัวหลักสูตรเป็นหลักมากกว่าที่จะเน้นผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
เพื่อดูว่าหลักสูตรนั้นสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายทางการศึกษาที่ตั้งไว้ได้หรือไม่
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์
(อังกฤษ: Hammond’s Model) ได้รับการคิดค้นขึ้นโดยโรเบิร์ด
แอล. แฮมมอนด์ โดยรูปแบบการประเมินหลักสูตรนี้เป็นรูปแบบที่เน้นพิจารณาเป้าหมายเป็นหลักการประเมินในรูปแบบนี้จะใช้สิ่งที่เรียกว่าลูกบาศก์
3 มิติในการประเมิน ซึ่งประกอบไปด้วยมิติด้านการเรียนการสอน มิติด้านสถาบันและมิติด้านพฤติกรรม
โดยนิยมใช้รูปแบบนี้ประเมินในช่วงที่กำลังใช้หลักสูตรอยู่ เพื่อหาทิศทางการพัฒนาและกำหนดทิศทางในอนาคต
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค
(อังกฤษ: Stake’s Responsive Model) ได้รับการคิดค้นขึ้นโดยโรเบิร์ต
สเตค[81] เป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรที่เน้นเกณฑ์เป็นหลัก
โดยในการประเมินหลักสูตรตามรูปแบบนี้จะเน้นการใช้ผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก
ซึ่งจะเน้นการประเมินใน 3
องค์ประกอบหลักซึ่งมีความสัมพันธ์กันคือการประเมินสิ่งที่มีอยู่ก่อน
การประเมินการดำเนินการและการประเมินผลผลิต โดยใช้ทักษะการประเมินเชิงคุณภาพในการประเมิน
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของโพรวัส
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของโพรวัส
(อังกฤษ: Provus’s Discrepancy Evaluation Model) ได้รับการคิดค้นขึ้นโดยมัลคอม โพรวัส ในปี ค.ศ. 1969 โดยเป็นรูปแบบการประเมินที่เน้นการรวบรวมข้อมูล
ซึ่งมีขั้นตอนในการประเมินหลักๆอยู่ 5 ขั้นตอนคือการตั้งเกณฑ์มาตรฐาน รวบรวมผลการปฏิบัติ
เปรียบเทียบกับเกณฑ์ จำแนกความแตกต่าง และตัดสินใจ
ส่งผลให้ช่วยในการตัดสินใจได้ว่าหลักสูตรที่ใช้แล้วนั้นควรปรับปรุงใหม่หรือยกเลิกหลักสูตรนั้น
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสคริฟเวน
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสคริฟเวน
(อังกฤษ: Scriven’s Goal-Free Model) ได้รับการคิดค้นขึ้นโดยไมเคิล
สคริฟเวน โดยเป็นรูปแบบการประเมินผลหลักสูตรที่ไม่ยึดเป้าหมายเป็นสำคัญ
โดยผู้ประเมินจะต้องไม่เป็นผู้ที่มีสองสองมาตรฐาน
โดยการประเมินนั้นจะประเมินผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งที่คาดหวังและไม่คาดหวัง อย่างไรก็ตามสคริฟเวนได้เสนอว่าการประเมินในรูปแบบนี้ควรใช้เป็นการประเมินเสริมไม่ใช้การประเมินหลัก
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีม
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีมหรือซีไอพีพีโมเดล
(อังกฤษ: Stufflebeam’s Context, Input, Process, Product
Model) ได้รับการคิดค้นขึ้นโดยดานิเอล สตัฟเฟิลบีม เป็นรูปแบบการประเมินที่เน้นการรวบรวมข้อมูล
สำหรับรูปแบบการประเมินรูปแบบนี้เป็นการประเมินหลักสูตรแบบครบวงจรและครบทุกด้าน
เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรในครั้งต่อไป โดยการประเมินตามแนวของสตัฟเฟิลบีมนั้นจะประเมินสภาวะแวดล้อม
ปัจจัยนำเข้า กระบวนการและผลผลิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น