2.หลักสูตรกว้าง
หลักสูตรกว้าง (The Broad-Field Curriculum) เป็นหลักสูตรอีกแบบหนึ่งที่พยายามแก้ไขจุดอ่อนของหลักสูตรรายวิชาโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมการเรียนการสอนให้เป็นที่น่าสนใจและเร้าใจช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถปรับตนให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมได้เป็นอย่างดีรวมทั้งให้มีพัฒนาการในด้านต่างๆทุกด้านกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพยายามจะหนีจากหลักสูตรที่ยึดวิชาเป็นพื้นฐานมีครูหรือผู้สอนเป็นผู้สั่งการแต่เพียงผู้เดียววิชาต่างๆ ที่แยกจากกันเป็นเอกเทศจนทำให้ผู้เรียนมองไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาเหล่านั้น ผลก็คือนักเรียนไม่สามารถนำเอาความรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
1. วิวัฒนาการของหลักสูตร
หลักสูตรกว้างเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษจากวิชาที่โทมัส ฮุกซเลย์ (Thomas Huxicy) สอนเด็กที่เรียนอยู่ในโรงเรียนในราชสำนัก (The Royal Insutunon) ที่นครลอนดอนวิชาที่สอนนี้กล่าวถึงแผ่นดินแถบลุ่มแม่น้ำเทมส์และกิจกรรมต่างๆของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นแผ่นดินนั้นเป็นการนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆหลายวิชามาศึกษาในเวลาเดียวกัน
สหรัฐอเมริกาเริ่มนำเอาหลักสูตรนี้มาใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1914
โดยวิทยาลัยแอมเฮิรส (Amherst Collge) จัดทำเป็นวิชากว้างๆ เรียกว่า สถาบันสังคมและเศรษฐกิจ (Social and
Economic Institions) ต่อมาในปี ค.ศ. 1923 มหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago)
ก็ได้จัดหลักสูตรกว้าง มีการสอนวิชาที่รวมวิชาหลายๆ วิชาเข้าด้วยกัน ได้แก่่วิชาการคิดแบบแก้ปัญหาขั้นนำ(Introduction
to Reflective Thinking)ธรรมชาติของโลกและมนุษย์(The
Nature of the World and of Man)มนุษย์ในสังคม(Man
in Society)และความหมายและค่านิยมของศิลปะ(The Meaning and
ValueoftheArts)ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นโรงเรียนมัธยมของสหรัฐอเมริกาเริ่มนำเอาหลักสูตรแบบกว้างมาใช้ทำให้เกิดหมวดวิชาต่างๆขึ้นเช่น สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ทั่วไป พลศึกษา ศิลปะคณิตศาสตร์ทั่วไปและภาษาในตอนแรกๆ การจัดเนื้อหาใช้วิธีจัดเรียงกันเฉยๆไม่มีการผสมผสานกันแต่อย่างใดทำให้การเรียนการสอนไม่บรรลุจุดประสงค์
เพราะแต่ละเนื้อหาวิชาต่างก็มีจุดประสงค์ของตนต่อมาภายหลังจึงได้มีการแก้ไขโดยกำหนดหัวข้อขึ้นก่อนแล้วจึงคัดเลือกเนื้อหาที่สามารถสนองจุดประสงค์จากวิชาต่างๆนำมาเรียงกันอีกต่อหนึ่งวิธีนี้ทำให้การเรียนการสอนบรรลุจุดประสงค์ได้ขณะเดียวกันก็มีผลพวงตามมาคือเอกลักษณ์ของแต่ละวิชาหมดไปเนื้อหาวิชาผสมผสานกันมากขึ้น ซึ่งในที่สุดได้นำไปสู่หลักสูตรใหม่ที่เราเรียกกันว่า หลักสูตรบูรณาการ (The
Integrated Cumculum)
ประเทศไทยได้นำหลักสูตรมาใช้เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2503 โดยเรียงลำดับเนื้อหาต่างๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันเข้าไว้ในหลักสูตร
และให้ชื่อวิชาเสียใหม่ให้มีความหมายกว้างครอบคลุมวิชาที่นำมาเรียงลำดับไว้
ตัวอย่างเช่นในหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ.2503 ได้มีการนำเอาเนื้อหาบางส่วนของวิชาศีลธรรม
หน้าที่พลเมือง ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ มาเรียงลำดับเข้าเป็นหมวดวิชา
เรียกว่า สังคมศึกษา เป็นต้น
ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
2.จุดประสงค์ของแต่ละหมวดวิชาเป็นจุดประสงค์ร่วมกันของวิชาต่างๆที่นำมารวมกันไว้ตัวอย่างเช่นในหมวดของสังคมศึกษาของประถมศึกษาตอนปลาย
พ.ศ.2503 ซึ่งประกอบด้วยวิชาศีลธรรม หน้าที่พลเมือง ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ได้กำหนดจุดประสงค์ของหมวดวิชาครอบคลุมวิชาทั้งสี่นี้เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขอนำเอาจุดประสงค์ทั้งหมด(ซึ่งในหลักสูตรเรียกว่าความมุ่งหมาย)มาเสนอไว้ในที่นี้ด้วย(กระทรวงศึกษาธิการ
พ.ศ. 2503 หน้าที่
1. ให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและทางสังคม
2. ให้เด็กมีความรู้และความรู้สึกซาบซึ้งในความเป็นมาในการเมืองของสังคม
และทางวัฒนธรรม ซึ่งแต่ละชาติได้สร้างสมกันมาตามประวัติศาสตร์
3. ให้เด็กยอมรับคุณค่าในทางศีลธรรมและวัฒนธรรม
และยินดีปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ
4.ให้เด็กมีความเข้าใจว่าสมาชิกของสังคมย่อมมีหน้าที่อำนวยประโยชน์ให้แก่สังคมตามวิถีทางของเขาสอนให้เด็กได้รู้จักเคารพสิทธิและความคิดเห็นของผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติศาสนาฐานะทางเศรษฐกิจและฐานะทางสังคมของบุคคลนั้น
5. ให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจในความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลกับระบอบการปกครองในปัจจุบัน
6.ให้เด็กรู้จักสิทธิและหน้าที่ตลอดจนความรับผิดชอบซึ่งพลเมืองแต่ละคนพึงมีต่อสังคมประชาธิปไตยโดยเฉพาะในเรื่องความมั่นคง และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศชาติ
7.
ให้เด็กมีความรู้ ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับการผลิต การบริโภค
และการสงวนทรัพยากรของสังคม
8.
ให้เด็กรู้จักเหตุผล รู้จักประเมินผล
ยอมรับหลักการและกระบวนการที่ถูกต้องในการแก้ปัญหา
3.
โครงสร้างหลักสูตรมีลักษณะเป็นการนำเอาเนื้อหาของแต่ละวิชาซึ่งได้เลือกสรรแล้วมาเรียงลำดับกันเข้า
โดยไม่มีการผสมผสานกันแต่อย่างใด หรือถ้ามีก็น้อยมาก
อย่างไรก็ตามหลักสูตรนี้เมื่อได้รับการดัดแปลงให้เป็นหลักสูตรบูรณาการ วิชาต่างๆ
จะผสมผสานกันกันจนหมดความเป็นเอกลักษณ์
ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
ส่วนดี
-ในการสอนทั้งผู้เรียนและผู้สอนเกิดความเข้าใจและมีทัศนคติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนกว้างขึ้น
- เป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างกว้างขวางเป็นการเอื้ออำนวยต่อการจัดกิจกรรมที่มีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
- เป็นหลักสูตรที่ทำให้วิชาต่างๆที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมีความสัมพันธ์กันดีขึ้น
ส่วนเสีย
-ลักษณะของหลักสูตรทำให้การเรียนการสอนไม่ส่งเสริมให้เกิดความรู้เนื้อหาอย่างลึกซึ้ง
เข้าทำนองรู้รอบมากกว่ารู้สึก
- การสอนอาจไม่บรรลุจุดประสงค์เพราะต้องสอนหลายวิชาในขณะเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น