รูปแบบของการประเมินหลักสูตร
ในเรื่องรูปแบบของการประเมินหลักสูตร
มีนักวิชาการซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านหลักสูตรและการประเมินผลเสนอแนะหลายรูปแบบด้วยกันซึ่งสามารถนำมาศึกษาเพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการในปัจจุบัน
รูปแบบของการประเมินหลักสูตรสามรถแบ่งได้เป็น
2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.
รูปแบบของการประเมินหลักสูตรที่สร้างเสร็จใหม่ๆ เป็นการประเมินผลก่อนนำหลักสูตร
ไปใช้
กลุ่มนี้จะเสนอรูปแบบที่เด่นๆคือรูปแบบการประเมินหลักสูตรด้วยเทคนิคการวิเคราะห์แบบปุยแชงค์(PuissanceAnalysis
Technique)
2. รูปแบบของการประเมินหลักสูตรในระหว่างหรือหลังการใช้หลักสูตรสามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ
ได้เป็น 4 กลุ่ม คือ
2.1
รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดจุดมุ่งหมายเป็นหลัก (Goal
Attainment Model) เป็นรูปแบบการประเมินที่จะประเมินว่าหลักสูตรมีคุณค่ามากน้อยเพียงใด
โดยพิจารณาจากจุดมุ่งหมายเป็นหลัก
กล่าวคือพิจารณาว่าผลที่ได้รับเป็นไปตามจุดมุ่งหมายหรือไม่ เช่น
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ (Ralph W. Tyler) และรูปแบบการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์
(Rabert L. Hammond)
2.2
รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ไม่ยึดเป้าหมาย (Goal Free
Evaluation Model) เป็นรูปแบบการประเมินที่ไม่นำความคิดของผู้ประเมินเป็นตัวกำหนดความคิดในโครงการประเมินผู้ประเมินจะประเมินเหตุการณ์ที่เกิดตามสภาพความเป็นจริง
มีความเป็นอิสระในการประเมินและไม่ต้องมีความลำเอียง เช่น
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสคริฟเวน (Michael Scriven)
2.3
รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดเกณฑ์เป็นหลัก (Criterion
Model) เป็นรูปแบบการประเมินที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการตัดสินคุณค่าของหลักสูตรโดยใช้เกณฑ์เป็นหลัก
เช่น รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค (Robert E. Stake)
2.4
รูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ช่วยในการตัดสินใจ (Decision-Mzking
Model) เป็นรูปแบบการประเมินที่เน้นการทำงานอย่างมีระบบเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูล
และการเสนอผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นๆเพื่อช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้องเช่นรูปแบบการประเมินของโพรวัส(Malcolm
Provus) รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีม(Daniel L.
Stufflebeam) และรูปแบบการประเมินหลักสูตรของดอริสโกว์ (Doris
T. Gow) เป็นต้น
การประเมินหลักสูตรมีขอบเขตต่างๆ
ที่จะต้องทำการประเมินกว้างขวางมาก
ดังนั้นวิธีการประเมินหลักสูตรจึงต้องได้รับการวิเคราะห์และออกแบบให้สามารถที่จะประเมินได้ครบถ้วนในขอบข่ายสาระทั้งหมด
รูปแบบต่างๆ
ที่จะใช้ประเมินผลมีหลายรูปแบบผู้มีหน้าที่ในการประเมินผลจำเป็นต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจให้กระจ่างชัด
และจะต้องนำรูปแบบต่างๆ
ไปใช้อย่างถูกต้องตรงตามจุดหมายและลักษณะของขอบข่ายสาระแต่ละอย่าง
ทั้งนี้เป็นไปได้ว่าการประเมินผลขอบข่ายสาระทั้งหมดของหลักสูตรจำเป็นต้องใช้วิธีการหลายวิธีหรือหลายๆรูปแบบจึงจะได้ข้อมูลที่มีความเชื่อมั่นในการที่จะนำไปพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณค่าเหมาะสมกับความต้องการของสังคม
รูปแบบการประเมินมีดังนี้
9.1 รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค (The Stake’s Congruence Contingency Model)
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตคเป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรที่ยึดเกณฑ์เป็นหลักสูตร
สเตคได้ให้ความหมายของการประเมินหลักสูตรว่าเป็นการบรรยายและการตัดสินคุณค่าของหลักสูตรซึ่งเน้นเรื่องการบรรยายสิ่งที่จะถูกประเมิน
โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิในการตัดสินคุณค่า
สเตคมีจุดมุ่งหมายที่จะประเมินผลหลักสูตรโดยการประเมิน ดังนั้น
สเตคจึงเสนอว่าควรมีการพิจารณาข้อมูลเพื่อประเมินผลหลักสูตร 3 ด้าน คือ
1. ด้านสิ่งที่มาก่อน
หรือสภาพก่อนเริ่มโครงการ (Antecedent) หมายถึง
สิ่งต่างๆ
ที่เอื้อให้เกิดผลจากหลักสูตรและเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนการใช้หลักสูตรอยู่แล้วประกอบด้วย
7 หัวข้อ คือ บุคลิกและนิสัยของนักเรียน บุคลิกและนิสัยครู
2. ด้านเนื้อหาในหลักสูตร
วัสดุอุปกรณ์ การเรียนการสอน อาคารสถานที่ การจัดโรงเรียน
ลักษณะของชุมชนขณะที่มีการเรียนการสอนระหว่างนักเรียนกับนักเรียน นักเรียนกับครู
ครูกับผู้ปกครอง ฯลฯ เป็นขั้นของการใช้หลักสูตร ซึ่งประกอบด้วย5หัวข้อ คือ
การสื่อสาร การจัดแบ่งเวลา การลำดับเหตุการณ์ การให้กำลังใจ
และบรรยากาศของสิ่งแวดล้อม
3. ด้านผลผลิต
หรือผลที่ได้รับจากโครงการ (Outcomes) หมายถึง
สิ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้หลักสูตร ประกอบด้วย 5 หัวข้อ คือ ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน
ทัศนคติของนักเรียน ทักษะของนักเรียน
9.2 รูปแบบของการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีม
(Stufflebeam)
แดเนียลแอลสตัฟเฟิลบีม (Daniel
L. Stufflebeam) ได้อธิบายความหมายของการประเมินผลทางการศึกษาเอาไว้ว่าเป็นกระบวนการการบรรยายการหาข้อมูลและการให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจหาทางเลือกฉะนั้นรูปแบบการประเมินผลหลักสูตรตามแนวคิดขอลสตัฟเฟิลบีมจึงเป็นรูปแบบเหมาะสมแก่การช่วยตัดสินใจเพื่อหาทางเลือกที่ดีที่สุด
ตามปกติสถานการณ์ในการตัดสินใจ
โดยทั่วไปจะประกอบด้วยมิติที่สำคัญ 2
ประการ คือ
1.
มิติด้านข้อมูลที่มีอยู่ (Information Grasp)
คือถ้าเราจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง
เราจำเป็นต้องคำนึงว่าเรามีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่มากน้อยเพียงใด
2.
มิติด้านปริมาณความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการให้เกิดขึ้น (Degree
of Cange) คือความหมายว่าถ้าเราจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหนึ่ง
เราต้องคำนึงว่าเมื่อทำไปแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากน้อยสักแค่ไหน
9.3 รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ (Tyler)
ไทเลอร์( Ttler,
1949 : 248)
เป็นผู้ที่วางรากฐานการประเมินหลักสูตร
โดยเสนอแนะแนวคิดว่าการประเมินหลักสูตรเป็นการเปรียบเทียบว่าพฤติกรรมของผู้เรียนที่เปลี่ยนแปลงเป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่ได้ตั้งไว้หรือไม่
โดยการศึกษารายละเอียดขององค์ประกอบของคณะ กระบวนการจัดการศึกษา 3 ส่วน คือ
จุดมุ่งหมายทางการศึกษา
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
และการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน
ไทเลอร์มีความเชื่อว่า
จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้อย่างชัดเจนรัดกุมและจำเพาะเจาะจงจะเป็นแนวทางในการประเมินผลในภายหลังบทบาทของการประเมินหลักสูตรจึงอยู่ที่การดูผลผลิตของหลักสูตรว่าตรงตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดหรือไม่แนวคิดของไทเลอร์เกี่ยวกับการประเมินหลักสูตรจึงยึดความสำเร็จของจุดมุ่งหมายเป็นหลัก
ไทเลอร์มีความเห็นว่าจุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตร คือ
1.
เพื่อตัดสินว่าจุดมุ่งหมายของการศึกษาที่ตั้งไว้ในรูปของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมนั้นประสบผลสำเร็จหรือไม่
ส่วนใดที่ประสบผลสำเร็จก็อาจเก็บไว้ใช้ได้ต่อไป
แต่ส่วนใดที่ไม่ประสบผลสำเร็จควรจะปรับปรุงแก้ไข
2. เพื่อการประเมินค่าความก้าวหน้าทางการศึกษาของกลุ่มประชากรขนาดใหญ่เพื่อให้สาธารณชนได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเข้าใจปัญหาความต้องการของการศึกษาและเพื่อใช้ข้อมูลนั้นเป็นแนวทางในการปรับปรุงนโยบายทางการศึกษาที่คนส่วนใหญ่เห็นด้วย
ด้วยเหตุนี้การประเมินหลักสูตรจึงเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนและการประเมินคุณค่าของหลักสูตร
ไทเลอร์ได้จัดลำดับการเรียนการสอนและการประเมินผลดังนี้
1. กำหนดจุดมุ่งหมายอย่างกว้างๆ
โดยการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ในการกำหนดจุดมุ่งหมาย (Goal
Sources) คือ นักเรียน สังคม และเนื้อหาสาระส่วนปัจจัยที่กำหนดขอบเขตของจุดมุ่งหมาย
(Goal Screens)
2.
กำหนดจุดประสงค์เฉพาะหรือจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมอย่างชัดเจน
ซึ่งจะเป็นพฤติกรรมที่ต้องการวัดหลังจากจัดประสบการณ์การเรียน
3.
กำหนดเนื้อหาหรือประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้
4.
เลือกวิธีการเรียนการสอนที่เหมาะสมที่จะทำให้เนื้อหาหรือประสบการณ์ที่วางไว้ประสบความสำเร็จ
5.
ประเมินผลโดยการตัดสินใจด้วยการวัดผลทางการศึกษา
หรือการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
6.
หากหลักสูตรไม่บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้
ก็จะต้องมีการตัดสินใจที่จะยกเลิกหรือปรับปรุงหลักสูตรนั้น
แต่ถ้าบรรลุตามจุดมุ่งหมายก็อาจจะใช้เป็นข้อมูลย้อนกลับ (Feedback)
เพื่อปรับปรุงการกำหนดจุดมุ่งหมายให้สอดคล้องกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงหรือใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาคุณภาพของหลักสูตรการประเมินหลักสูตรตามแนวคิดของไทเลอร์จะเห็นว่าเป็นการยึดความสำเร็จของผู้เรียนส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์ในการตัดสินโดยอาศัยการวัดพฤติกรรมก่อนและหลังเรียน
(Pre-Post Measurement) และมีการกำหนดเกณฑ์ไว้ก่อนล่วงหน้าว่าความสำเร็จระดับใดจึงจะประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้การประเมินผลในลักษณะนี้จึงเป็นการประเมินผลสรุป
(Summative Evaluation) มากกว่าการประเมินผลความก้าวหน้า (Formative Evaluation)
9.4 รูปแบบการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์ (Hammond)
โรเบอร์ต แฮมมอนด์ (Robert Hammond) มีแนวคิดในการประเมินการหลักสูตรโดยยึดจุดประสงค์เป็นหลักคล้ายไทเลอร์แต่แฮมมอนด์ได้เสนอแนวคิดที่ต่างจากไทเลอร์โดยที่แฮมมอนด์เสนอว่า
โครงสร้างสำหรับการประเมินนั้นประกอบด้วยมิติ (Dimensions) ใหญ่ๆ หลายมิติด้วย แต่ละมิติก็จะประกอบด้วยตัวแปรสำคัญ อีกหลายตัวแปร
ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของหลักสูตรขึ้นอยู่กับการปะทะสัมพันธ์(Interaction)ระหว่างตัวแปรในมิติต่างๆ เหล่านี้ มิติทั้ง 3 ได้แก่
มิติด้านการเรียน การสอน มิติด้านสถาบัน และมิติด้านพฤติกรรม
1. มิติด้านการสอน
ประกอบด้วยตัวแปรสำคัญ 5 ตัวแปร
คือ
1.1
การจัดชั้นเรียนและตารางสอน
คือการจัดครูและนักเรียนให้พบกันและดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน
ซึ่งการจัดในส่วนนี้จะต้องคำนึงถึงเวลาและสถานที่
1.2 เนื้อหาวิชา หมายถึง
เนื้อหาวิชาที่จะนำมาจัดการเรียนการสอน
การจัดลำดับเนื้อหาให้เหมาะสมกับระดับวุฒิภาวะของผู้เรียนและชั้นเรียนแต่ละระดับ
1.3 วิธีการ หมายถึง
หลักการเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรียน
รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน
1.4 สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ หมายถึง
สถานที่ อุปกรณ์ เครื่องมือ และอุปกรณ์พิเศษ ห้องปฏิบัติการ วัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ รวมถึงสิ่งที่มีผลต่อการใช้หลักสูตร และการสอนด้านอื่นๆ
1.5 งบประมาณ หมายถึง
เงินที่ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนการสอน การซ่อมแซม เงินเดือนครู
ค่าจ้างบุคลากรที่จะทำงานการใช้หลักสูตรประสบความสำเร็จ
2. มิติด้านสถาบัน
ประกอบด้วยตัวแปรที่ควรคำนึงถึงในการประเมินหลักสูตร 5 ตัวแปร คือ
2.1 นักเรียน
มีองค์ประกอบที่ต้องคำนึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ อายุ เพศ
ระดับชั้นที่กำลังศึกษา ความสนใจ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สุขภาพกายและสุขภาพจิต
ภูมิหลังทางครอบครัว
2.2
ครูมีองค์ประกอบที่ต้องคำนึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ อายุ เพศ
วุฒิสูงสุดทางการศึกษา ประสบการณ์ทางการสอน เงินเดือน กิจกรรมที่ทำเวลาว่างการฝึกอบรมเพิ่มเกี่ยวการใช้หลักสูตรในช่วงระยะเวลา
1-3 ปี และความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน
2.3 ผู้บริหาร
หมายถึง
มีองค์ประกอบที่ต้องคำนึงถึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ อายุ
เพศ วุฒิสูงสุดทางการศึกษา ประสบการณ์ทางการศึกษา เงินเดือน
ลักษณะทางบุคลิกภาพ
การฝึกอบรมเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้หลักสูตรในช่วงระยะเวลา 1-3 ปี และความพึงพอเคยใจในการปฏิบัติงานด้านวิชาการ
2.4 ผู้เชี่ยวชาญ หมายถึง
มีองค์ประกอบที่ต้องคำนึงถึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ อายุ เพศ
ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ลักษณะของการให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือ
ลักษณะทางบุคลิกภาพและความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน
2.5 ครอบครัว
มีองค์ประกอบที่ต้องคำนึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ สถานภาพสมรส ขนาดครอบครัว
รายได้ สถานที่อยู่ การศึกษา การเป็นสมาชิกของสมาคม การโยกย้าย
จำนวนบุตรที่อยู่ในโรงเรียนนี้ และจำนวนญาติที่อยู่ร่วมโรงเรียน
2.6 ชุมชน
มีองค์ประกอบที่ต้องคำนึงถึงในการประเมินหลักสูตร ได้แก่ สถานภาพชุมชน
จำนวนประชากร การกระจายของอายุของประชากร ความเชื่อ (ค่านิยม ประเพณี ศาสนา)
ลักษณะทางเศรษฐกิจ สภาพการให้บริการสุขภาพอนามัย และการรับนวัตกรรมเทคโนโลยี
3. มิติด้านพฤติกรรม มีองค์ประกอบของพฤติกรรม 3
ด้าน คือ พฤติกรรมด้านความ (Cognitive Domain) พฤติกรรมด้านทักษะ (Psychomotor Domain) และพฤติกรรมด้านเจตคติ (Affective Domain)
แนวคิดการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์
เริ่มด้วยการประเมินหลักสูตรที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
เพื่อให้ได้ข้อมูลเป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การตัดสินใจ
แล้วจึงเริ่มกำหนดทิศทางและกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
ควรจะเริ่มต้นที่วิชาใดวิชาหนึ่งในหลักสูตรมีดังนี้
1.
กำหนดสิ่งที่ต้องการประเมินควรจะเริ่มต้นที่วิชาใดวิชาหนึ่งในหลักสูตร เช่น
ภาษาไทย คณิตศาสตร์ และจำกัดระดับชั้นเรียน
2.
กำหนดตัวแปรในมิติการสอนและมิติสถาบันให้ชัดเจน
3. กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
โดยระบุถึง
1.
พฤติกรรมของนักเรียนที่แสดงว่าประสบความสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนด
2.
เงื่อนไขของพฤติกรรมที่เกิดขึ้น
3.
เกณฑ์ของพฤติกรรมที่บอกให้รู้ว่านักเรียนประสบความสำเร็จตามจุดประสงค์มากน้อยเท่าใด
4.
ประเมินพฤติกรรมที่ระบุไว้ในจุดประสงค์ ผลที่ได้จากการประเมินจะเป็นตัวกำหนดพิจารณาหลักสูตรที่ดำเนินใช้อยู่เพื่อตัดสิน
รวมทั้งการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
5.
วิเคราะห์ผลภายในองค์ประกอบและความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ
เพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับพฤติกรรมแท้จริงที่เกิดขึ้น
ซึ่งจะเป็นผลสะท้อนกลับไปสู่วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ที่ตั้งไว้
และเป็นการตัดสินใจว่าหลักสูตรนั้นมีประสิทธิภาพเพียงใด
6.
พิจารณาสิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลงปรับปรุง
แนวคิดในการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์ใช้แนวคิดจองไทเลอร์เป็นพื้นฐานในการกำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
และการการใช้ข้อมูลจากการประเมินผลในการปรับปรุงจุดประสงค์ของหลักสูตรนั้น
แต่แฮมมอนด์ในแนวคิดที่เป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ตัวแปรของมิติด้านการสอน
และมิติด้านสถาบันซึ่งอาจมีผลต่อความสำเร็จของหลักสูตรนั้นด้วย
9.5
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของโพรวัส (Provus,
Discrepancy Evalution Model)
โพรวัส
ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการประเมินหลักสูตรซึ่งเรียกว่า
“การประเมินผลความแตกต่างหรือการประเมินความไม่สอดคล้อง” (Discrepancy
Evalution) ซึ่งจะประเมินหลักสูตรทั้งหมด 5
ส่วน คือ 1. การออกแบบ (Desingn) 2.
ทรัพยากรหรือสิ่งที่เริ่มตั้งไว้เมื่อใช้หลักสูตร (Installation) 3. กระบวนการ ( Process
) 4.
ผลผลิตของหลักสูตร ( Products ) 5. ค่าใช้จ่ายหรือผลตอบแทน (Cost) ในแต่ละส่วนจะมีขั้นตอนการประเมินผลโดยจะดำเนินการเป็น
5 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1
ผู้ประเมินจะต้องกำหนดเกณฑ์มาตรฐาน(Standards – S) ของสิ่งที่ต้องการวัดก่อนเช่น
มาตรฐานด้านเนื้อหา เป็นต้น
ขั้นที่2ผู้ประเมินต้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานหรือการปฏิบัติจริงของสิ่งที่ต้องการวัด
ขั้นที่ 3
ผู้ประเมินนำข้อมูลที่รวบรวมได้ขั้นที่2มาเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ในขั้นที่
1
ขั้นที่4ผู้ประเมินศึกษาความแตกต่างหรือความไม่สอดคล้องระหว่างผลการปฏิบัติจริงกับเกณฑ์มาตรฐาน
ขั้นที่ 5
ผู้ประเมินส่งผลการประเมินไปให้ผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรว่าจะเลิกการใช้หลักสูตรที่ประเมินหรือปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติหรือเกณฑ์มาตรฐานให้คุณภาพดีขึ้น
S = Standard
เป็นขั้นแรกของการประเมินหลักสูตร กล่าวคือ
ประเมินผลต้องตั้งสิ่งมาตรฐานที่ต้องการวัดไว้ก่อน
P = Performance
หลักจากดำเนินการขั้นแรกเรียบร้อยแล้ว
ผู้ประเมินจะต้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานหรือการปฏิบัติจริงในสิ่งที่ต้องการวัดให้เพียงพอข้อมูลที่รวบรวมความเป็นข้อมูลที่แสดงให้เห็นพฤติกรรมที่ชัดเจน
C = Compare
เมื่อตั้งมาตรฐานและรวบรวมข้อมูลเสร็จแล้ว ก็นำข้อมูลมาเปรียบเทียบเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้
D = Discrepancy
จากการเปรียบเทียบข้อมูลกับมาตรฐานที่กำหนดไว้ ผู้ประเมินพบว่ามีช่องว่างอะไรที่เกิดขึ้นกับผลที่คาดหวัง
D = Decision
Making ผู้ประเมินจะส่งผลผลประเมินไปให้ผู้ที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรเพื่อตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งขั้นตอนการประเมินดังกล่าว สามารถอธิบายเป็นรูปแบบดังนี้
แบบการประเมินผลหลักสูตรของโพรวัสนี้
นับว่าสะดวกแก่การประเมินหลายประเภทและเป็นกระบวนการที่ให้เห็นถึงผู้บริหารจะตัดสินใจจะใช้หรือไม่หรือจะปรับปรุงเพิ่มเติมหรือจะหยิบยกข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งมาพิจารณา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น